วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความรู้พิเศษ มหัศจรรย์... การนวด”ดึงหูแก้อาการปวดศีรษะ”   

วิธีนวดมีดังนี้
ให้ผู้นวดสังเกตุใบหูของคนเรา บางคนมี2ขอบคือขอบนอกกับขอบใน
ให้เอาขอบในเป็นหลัก บางคนมี3ขอบ ให้เอาขอบขอบกลาง ค่อนขึ้นด้านบนใกล้บนสุดคลำหรือคลึงจะแข็ง ให้เอาผ้าขนหนูคลุมใบหูไว้(กันลื่น)ใช้นิ้วชี้อยู่ด้านในหูกดขอบใน ใช้นิ้วโป้งกดหลังหูบีบแล้วดึงแรงๆ เมื่อนวดดึงบางคนอาจมีเสียงเหมือนข้อลั่น บางคนมีเสียงเหมือนกระดาษขาด ให้ดึง2-3ครั้งก็พอ ไม่นานอาการปวดศีษะก็ดีขึน แต่อาจใช้ไม่ได้ผลกับปวดไมเกรน หรือเป็นไข้แล้วมีอาการปวดศีรษะร่วม นะคะ
 
ขอขอบคูณข้อมูลดีๆจาก คุณอุษณีย์ และ อ.สุวัฒน์ เชียงใหม่

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เส้นสิบพิสดาร



เส้นสิบพิสดาร ตามโบราณท่านขาน เป็น “ เส้นวิญญาณ

                  
  ปถมังกำเนิด ในมหาจักรวาลอันไพศาล ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของมหาภูติรูปสี่ อันเป็นปฐมธาตุได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยมีอากาศธาตุเป็นช่องว่างรองรับการรวมตัว และการสลายตัวของปฐมธาตุทั้งสี่ ซึ่งปฐมธาตุทั้งสี่มีคุณสมบัติเด่น ประจำตนเช่นนี้
·        ธาตุดิน (ปฐวี) จะเป็นตัวแทน และแสดงภูมิรู้ของตน ในความเป็นของ
     แข็งและความแข็งแกร่ง
·        ธาตุน้ำ (อาโป) จะเป็นตัวแทนของทุกสิ่งที่เป็นของเหลว ไหลไปมาแทรก
     เอิบอาบไปในทุกสิ่ง และความชุ่มฉ่ำ เยือกเย็น
·        ธาตุลม (วาโย) จะเป็นตัวแทนของ สิ่งที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง และความ
     แปรปรวน
·        ธาตุไฟ (เตโช) จะเป็นตัวแทนของ อุณหภูมิความร้อน (เย็น) และ
     ความรุ่มร้อน
·        อากาศธาตุ มีลักษณะเป็นที่ว่างเปล่า เป็นสถานที่รองรับการเกิดขึ้น (อุบัติ)
     และสลายไป
(จุติ) แห่งรูปและนาม (อุปาทายรูป- รูปและนาม อันเกิดจาก
     มหาภูติรูปสี่
) มหาภูติรูปสี่ที่รวมตัวกันในความว่างเปล่า (อากาศธาตุ) เกิด
     เป็นโครงสร้างของกายมนุษย์ มี
2 สถานะ คือ
1. สถานะในรูปของสสาร (ดิน 20, น้ำ 12, ลม 6, ไฟ 4, และอากาศธาตุ 9) ซึ่งเป็นของที่ไร้ชีวิต
2. สถานะในรูปของพลังงาน ในทางการแพทย์แผนไทยให้ชื่อพลังงานกลุ่มนี้ว่า ปิตตะ, วาตะ, และเสมหะ ซึ่งทำงานภายใต้เจตนา (เจสิก) ของจิต (วิญญาณ) ที่เข้าครอบครอง และเจสิกตัวนี้เป็นตัวตั้งต้นกำหนดให้พลังงานทั้งหมดประกอบมหาภูติรูปสี่ ในส่วนของสสาร คือ ดิน 20, น้ำ 12, ลม 6, ไฟ 4 ในความว่างเปล่า และเมื่อ เจสิก ได้ประกอบกลุ่มของพลังงาน และ กลุ่มแห่งรูปเรียบร้อย พร้อมกับจิต (วิญญาณ) ผู้สร้างเจสิก ได้เข้าครอบครองและควบคุมทุกสถานะแล้ว ชีวิตมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
หมายเหตุ ***
1.
ดิน(ปฐวี) 20, น้ำ(อาโป) 12, ลม(วาโย) 6, ไฟ(เตโช) 4, และอากาศธาตุ 9
·        อากาศธาตุ ในคัมภีร์แพทย์        กำหนดอากาศธาตุเป็นส่วนประกอบแห่งกายมนุษย์ มี 9 ประการ ในบุรุษ(เรียกว่า นวทวาร) และมี 10 ประการในสตรี มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ดังนี้คือ ; ช่องจมูก 2 , ช่องตา 2, ช่องหู 2, ช่องปาก 1 , ช่องทวาร เบา 1 , ช่องทวารหนัก 1, รวม 9 ประการ และเพิ่มช่องกำเนิดสำหรับในสตรี 1 รวม 10 ประการ
2. ปิตตะ วาตะ และ เสมหะ มีสภาพเป็นทั้ง 2 สถานะ คือ เป็นทั้งพลังงาน และสสาร
·        ปิตตะ
* ส่วนที่เป็นสสาร คือตัวสารตั้งต้นของปฏิกิริยาสันดาป เช่น เม็ดโลหิตแดง  น้ำย่อยอาหาร น้ำดี ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะของ ดิน + ไฟ
* ส่วนที่เป็นพลังงาน คือ พลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นจากการสันดาป อันเกิดจาก ปฏิกิริยาของสารชีวะเคมี มีลักษณะ เป็นกลุ่มก้อนของคลื่นความร้อน
·        วาตะ
* ส่วนที่เป็นสสารมีลักษณะของลมที่ตีขึ้นเป็นก้อนๆ จุกในอก เป็นก้อนๆในอวัยวะ เป็นเม็ดๆเหมือนทรายในกล้ามเนื้อ ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะของ ดิน+ลม
* ส่วนที่เป็นพลังงาน คือ การเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เช่น การเคลื่อนที่ของกระแสประสาท การเคลื่อนที่ของโลหิต การเคลื่อนที่ของลมสุมนา
·        เสมหะ
* ส่วนที่เป็นสสารมีลักษณะเหมือนโคลนตม เช่น หนอง, เสลด ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะของ ดิน + น้ำ( คือ เมหะ เช่น ปรเมหะ, มธุเมหะ เสมหะ(เสลด))
* ส่วนที่เป็นพลังงาน คือ การหมุนเวียนถ่ายเทความร้อน (ความเย็น)
3.ในส่วนประกอบของธาตุทั้ง 4 แยกทำหน้าที่หลัก และเป็นเหตุทำให้เจ็บป่วย คือ
·        เสมหะ ประกอบด้วย ศอเสมหะ, อุระเสมหะ, คูถเสมหะ
·        วาตะ ประกอบด้วย สัตถกวาตะ, หทัยวาตะ, สุมนาวาตะ
·        ปิตตะ ประกอบด้วย กำเดา, พัทธะปิตะ, อพัทธะปิตะ
·        กระเปาะแก้วแห่งอากาศธาตุ ที่ตั้งอยู่ในกาย ทั้งเก้าจุด มีชื่อเรียกเฉพาะว่า
นวทวารบ้างก็เรียกเต็มยศว่านวโลกุตรธรรมเจ้าเก้าประการมีลักษณะเป็นที่ว่าง เป็นที่ตั้งของทั้งธาตุ 4 โดยมีธาตุที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อยู่ตรงกันข้าม และจุดที่ตัดกึ่งกลางของธาตุทั้ง 4 เป็นที่ตั้งของ วิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ของมนุษย์) ซึ่งโดยปกติในกายมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ ธาตุทั้ง 4 ในจุดนั้นๆจะหมุนอยู่ตลอดเวลา และเราเรียกสภาพรวมทั้งหมดของแต่ละทวารว่าจักรหรือจักระ” (ไทยเราจะใช้คำว่า จักร)
ตำแหน่งที่ตั้งและชื่อเรียกเฉพาะของนวทวารมีดังนี้
5. อัษฎากาศเบื้องบน           (กลางกระหม่อม)
6. ทิพย์สูญ                             หว่างคิ้ว
7. มหาสูญ                             หว่างจักขุทั้งสอง
8. จุดสูญน้อย                        ปลายนาสิก
9. โคตรภู                               ท้ายทอย
4. ห้องสมุด                           คอกลวง **
3. ห้องหทัยวัตถุ
2. ห้องนาภี
1. อัษฎากาศเบื้องล่าง            (ฝีเย็บ)

การวางธาตุทั้ง 4 ในแต่ละทวารจะมี 2 ลักษณะ คือวางแบบ หงายจักร และ คว่ำจักร (ซึ่งสามารถกำหนดให้ คว่ำ หรือ หงาย ได้ ด้วยอำนาจจิต) โบราณกล่าวกันว่า ปกติ ในเพศชาย ธาตุ 4 จะหมุนแบบ คว่ำจักร และ ปกติ ในเพศหญิง ธาตุ 4 จะหมุนแบบ หงายจักร
     น้ำ                                                                   น้ำ
ลม + ดิน                                                        ดิน + ลม
    ไฟ                                                                    ไฟ
คว่ำจักร (จักรสุกิตติมาตัวผู้)                      หงายจักร (จักรสุกิตติมาตัวเมีย)

วิธีการตั้งธาตุ นับธาตุ, เดินธาตุ แต่โบราณ เริ่มจาก จุดศูนย์กลาง (อันเป็นที่ตั้งของวิญญาณธาตุ) และพุ่งไปที่ธาตุใดธาตุหนึ่งที่ต้องการ
สมมุติ ใช้คว่ำจักร จากจุดศูนย์กลางไปธาตุไฟเรียกว่า การตั้งธาตุ แล้วเวียนไปทางขวา เป็นธาตุดินเรียกว่ารองธาตุ แล้วพุ่งผ่านไปธาตุลมแล้วเวียนไปธาตุน้ำแล้วกลับสู่ศูนย์กลาง
ลักษณะการเดินของธาตุ จะมีลักษณะคล้ายใบพัด ของเครื่องบิน (แต่ด้วยอำนาจจิต จะวางธาตุแบบใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดตายตัว)    ธาตุ 4 ที่ตั้งอยู่ในจักระ มีการเดินธาตุ เป็นลักษณะของใบพัดหมุนได้ จะเร็วจะช้า ขึ้นอยู่กับเหตุ 3 ประการ
1. แรงปรารถนาของจิต (ตันหา) จากวิญญาณธาตุที่อยู่ตรงกลาง (เหมือนมอเตอร์ที่คอยขับดันให้ใบพัดหมุน)
2. กระแส สนามพลังจากภายนอก เช่น สนามพลังจากดวงดาว แม่เหล็กโลก ฮวงจุ้ยฯลฯ ซึ่งเป็นพลังรบกวนจากภายนอก มาต้าน หรือ เสริมการหมุนของจักร (คล้ายลมที่พัดผ่านใบพัด)
3. มุมเอียงของใบพัด ของธาตุทั้ง 4 ซึ่งจะเอียงไปตามบุพกรรมของเจ้าของ หรืออาจเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจจิต โดยการตั้งตำแหน่งของธาตุตั้งต้นและรองธาตุ ให้ตื้นลึกต่างกันมากน้อย (หมายถึง การบิดมุมของใบพัด) และเมื่อมีกระแสพลัง (ตามข้อ 1 หรือ 2 )ไหลผ่าน ใบพัดแห่งธาตุทั้ง 4 จะหมุนเร็ว จะหมุนช้า ขึ้นอยู่กับมุมใบพัดที่ตั้งไว้การนับเรียงลำดับธาตุ มีอยู่ 2 แบบ คือแบบที่เป็นวัตถุธาตุ และแบบที่เป็นพลังงานธาตุ
1. การนับเรียงแบบวัตถุธาตุ ปกติทั่วไป จะนับเรียงด้วยความเคยชินดังนี้ คือ
ดิน, น้ำ, ลม,ไฟแต่ในทางการแพทย์แผนไทย จะ
เริ่มต้นที่ธาตุไฟก่อน(ไม่ว่าจะคว่ำหรือหงายจักร)โดยยึดหลักไฟให้ความร้อนแก่ดิน ดินถ่ายความร้อนให้นํ้า และน้ำทำให้เกิดลมพัด (คือน้ำเคลื่อนที่)ดังนั้นการนับเรียงธาตุจึงเป็นไฟ, ดิน, น้ำ, ลมหรือนับกลับเช่น น้ำ, ดิน, ไฟ,ลมเป็นต้น
2. การนับเรียงแบบพลังงานธาตุ การนับเรียงแบบนี้จะก่อให้เกิดการหมุนจักร ทำให้เกิดพลังงานชีวิตที่ใช้หล่อเลี้ยงร่างกาย ดังอธิบายผ่านมาแล้ว การนับธาตุ จะนับดังนี้ ไฟ, ดิน, ลม,น้ำ หรือหมุนกลับ น้ำ, ลม, ดิน, ไฟจักรทั้งเก้าที่หมุนอยู่ตามที่อธิบายไว้ เริ่มแรกต่างคนต่างหมุน บ้างหมุนช้า บ้างหมุนเร็วแตกต่างกันอยู่    เมื่อทุกจักรหมุนไประยะหนึ่ง ย่อมส่งพลังงานออกภายนอกและรวมกลุ่มพลังกันประสานเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นเหตุให้จักรทุกตัว เริ่มปรับตัวประสานกัน หมุนด้วยความเร็วเสมอกัน ก่อให้เกิดพลังชีวิต พุ่งเป็นสายต่อเนื่องกันเป็นลำ ในแนวตั้งฉากกับผิวโลก (ในสัตว์ เดรัจฉาน พลังนี้จะขนานไปกับพื้นโลก) เราเรียก เส้นทาง ของการรวมของจักรทุกตัวที่ปรับตัวประสานกัน หมุนด้วยความเร็วเสมอกัน ก่อให้เป็นพลังชีวิตพุ่งเป็นสายต่อเนื่องกันเป็นลำ ในแนวตั้งฉากกับผิวโลก ทำให้พลังชีวิตเคลื่อนที่เป็นลำว่า สุมนานทีและเรียกพลังที่ไหลอยู่ในเส้นสุมนานี้ว่า วาตะธาตุ        สุมนานที ที่เกิดขึ้นเป็นประดุจดังแกนหมุนของจักรแห่งธาตุสี่ตัวใหญ่ (เกิดจากการรวมจักรทั้งเก้า) แรงปารถนาในการสร้างกายมนุษย์จากกึ่งกลางจุดตัดแห่งธาตุสี่ จะเริ่มดึงธาตุทั้งสี่ให้เป็นเส้นตรง และเริ่มนับธาตุในการสร้างวัตถุธาตุในสองแนว คือ
1.        แนวที่หนึ่ง โดยเริ่มนับที่ความร้อนคือธาตุไฟก่อน ซึ่งปกติพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน (แนบแนวกระดูกสันหลังขึ้นไป) ดังนั้นการนับเรียงธาตุจึงเริ่มที่
ไฟ, ดิน, น้ำ, ลมโดยแต่ละธาตุมีตำแหน่งจะประจำอยู่ดังนี้
·      ไฟ อยู่ที่ ฝีเย็บ เรียกงูไฟหรือศูนย์กำเนิดแห่ง ปิตตะธาตุ
·      ดิน อยู่ที่กระเบนเหน็บ เรียก พัทธะปิตตะ
·      น้ำ อยู่ที่กลางหลัง เรียก อพัทธะปิตตะ
·    ลม อยู่ที่ กำด้น (จุดต่อกะโหลกกับก้านคอ) เรียก กำเดา
ซึ่งเรียกแนวแห่งความร้อนที่พุ่งจากฝีเย็บขึ้นสู่กระหม่อมนี้ว่าสุริยะรัตนที
2.     แนวที่สอง เริ่มนับสิ่งที่เป็นปฏิปักกับธาตุไฟ คือ ธาตุน้ำ โดยมีปกติหนักไหลลงสู่ที่ต่ำ ซึ่งเป็นทิศย้อนกลับของแนวแรก ดังนั้นการนับเรียงธาตุจึงเริ่ม
ที่
น้ำ, ดิน, ไฟ, ลม โดยแต่ละธาตุมีตำแหน่งจะประจำอยู่ดังนี้
·    ธาตุน้ำอยู่ที่กลางกระหม่อม เรียกศูนย์กำเนิดแห่ง เสมหะธาตุ
·    ธาตุดิน อยู่ที่ คอด้านหน้า (คอต่อกับอก) เรียก ศอเสมหะ
·    ธาตุไฟ อยู่ที่กลางอก(ลิ้นปี่) เรียก อุระเสมหะ
·    ธาตุลม อยู่ที่ นาภี เรียก คูถเสมหะ
ซึ่งเรียกแนวแห่งความเย็นที่ไหลลงจากกระหม่อมสู่ก้นกบนี้ว่าจันทรานที

หมายเหตุ
เสมหะธาตุตัวนี้เป็นธาตุน้ำก็จริงอยู่ แต่น้ำไม่ได้หมายถึงความเย็น(ซึ่งตรงข้ามกับไฟ คือความร้อน) แต่เสมหะคือธาตุน้ำนี้ จะเป็นตัวหมุนเวียนถ่ายเทระบายความร้อนไปสู่จุดอื่นทำให้บริเวณนั้นเย็นลงปลายสุดของ สุมนานที ทั้งสองด้าน
·      ด้านบนจะเป็นจุดศูนย์แห่งเสมหะธาตุ
·      ด้านล่างเป็นจุดศูนย์แห่งปิตตะธาตุ
*** ตรงกลาง จะเกิดจักรตัวใหม่ขึ้นสามตัว (ศอเสมหะ-กำเดา, อุระเสมหะ-พัทธะปิตะ,คูถเสมหะ-อพัทธะปิตะ) มีแกนหมุนอยู่บนเส้นสุมนา การหมุนของจักรทั้งสามตัวจะสัมพันธ์กัน หมุนเป็นเกลียว หญิงหมุนซ้าย ชายหมุนขวา (มองจากด้านบนสู่เบื้องล่าง) ผู้ที่กำลังเป็นลมจะรับรู้ถึงการหมุนของจักรชุดนี้ (ลมจะหมุนจากล่างขึ้นบน)
1. จักร ตัวที่หนึ่ง เกิดจาก ธาตุดิน จากศอเสมหะ และธาตุลม จากกำเดา มีแกนหมุนซ้อนอยู่บนเส้นสุมนา จักรใหม่ตัวนี้ หมุนให้พลังไหลวนเฉพาะตัว เรียกว่า สัตถกะวาตะ (คือกระแสประสาท)
2. จักร ตัวที่สอง เกิดจาก ธาตุไฟ ที่อุระเสมหะ และธาตุน้ำที่อพัทธปิตะ มีแกนหมุนซ้อนอยู่บนเส้นสุมนา จักรใหม่ตัวนี้ หมุนให้พลังไหลวนเฉพาะตัว เรียกว่า หทัยวาตะ (คือระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง)
3. จักร ตัวที่สาม เกิดจาก ธาตุลม ที่ คูถเสมหะ และธาตุดิน ที่พัทธปิตะ มีแกนหมุนซ้อนอยู่บนเส้นสุมนา จักรใหม่ตัวนี้ หมุนให้พลังไหลวนเฉพาะตัว เรียกว่า สุมนาวาตะ (คือระบบไหลเวียนของพลังชีวิต)
ดังนั้น พลังที่ไหลอยู่ในสุมนานที ที่เรียกว่าวาตะธาตุ จะประกอบด้วย สัตถกะวาตะ, หทัยวาตะ และสุมนาวาตะ มีศูนย์กลางการถ่ายเทพลังงานอยู่ที่ศูนย์กำเนิดแห่ง เสมหะธาตุ (จันทรามณี ) และศูนย์กำเนิดแห่ง ปิตตะธาตุ(สุริยะรัตมณี)

หมายเหตุ
·      ลักษณะ ของพลังที่ไหลใน สุริยะรัตนที หรือเส้นสุริยันจะเป็นพลังความร้อนไหลบ่าขึ้นไปเบื้องบน คล้ายเปลวความร้อนที่ไหลบ่าขึ้นไป ไม่มีลักษณะเป็นเส้นหรือท่อแต่อย่างใด มีความหนาแน่นอยู่ด้านหลังของร่างกายมากกว่าด้านหน้า
·      ส่วนใน จันทรานที หรือเส้นจันทรา ก็จะไม่มีลักษณะเป็นเส้นหรือท่อเช่นกัน เสมหะธาตุจากเบื้องบนจะไหลบ่าจากเบื้องบนลงมาด้านล่างทั้งด้านหน้าและหลัง ของร่างกาย แต่ความหนาแน่นของพลัง จะหนาแน่นที่ด้านหน้ามาก ส่วนด้านหลัง ความหนาแน่นจะค่อนข้างจางกว่า 
ลักษณะของพลังที่ไหลเวียนถ่ายเทระหว่างเส้นสุริยัน เส้นจันทราและเส้นสุมนา เริ่มอธิบายจาก  เสมหะ ธาตุอันมีสมบัติหนัก ไหลบ่าลงสู่เบื้องล่างเป็นปกติวิสัย ไหลบ่าลงท่วม ปิตตะคือธาตุไฟ เมื่อไฟ ถูกน้ำท่วมย่อมเกิดไอความร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนมากกว่าเดิม และพลังร้อนเย็นทั้งสองนี้จะถ่ายเทเข้าสู่เส้นสุมนาเป็นพลังชีวิตของมนุษย์ ผ่านทางจักรทั้งสามตัวและศูนย์ควบคุมปิตตะ และเสมหะอีกสองตัวดังได้กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งมีลักษณะเส้นทางเฉพาะตัว (หมุนเป็นเกลียวผ่านแกนตัดกันของธาตุสี่ ซึ่งเป็นลักษณะของ อังคมังคานุสารีวาตา และเราเรียกเส้นทางการถ่ายเทพลังนี้ว่า เส้น อัฏฐะพฤกษ์ทั้งแปด ดังนี้
1. เส้น เชื่อมต่อถ่ายพลังที่กลางกระหม่อม มี หนึ่งเส้น จะรวมความร้อนเย็น
จากปิตะและเสมหะเข้าสู่ปลายท่อส่วนบนของเส้นสุมนา ผู้ฝึกพลังได้ระดับหนึ่งที่มีพลังไหลถ่ายเข้าปลายท่อส่วนบนของเส้นสุมนามากพอ จะทำให้เส้นนี้เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าดั่งดวงมณี ให้แสงเย็นมีลักษณะเป็นสีม่วงอ่อนจางๆ
(คล้ายแสง UV หรือแสงจันทร์) แสง นี้สามารถทะลุทะลวงสิ่งปิดทึบได้ทุกสิ่ง ทำให้ผู้ฝึกที่ได้แสงตัวนี้จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ทั้งกลางวันและกลางคืน จากลักษณะของเส้นนี้ที่สามารถเปล่งแสงได้คล้ายแสงจันทร์ ท่านจึงตั้งชื่อเส้นนี้ว่า
จันทรามณี
2. เส้นเชื่อมต่อถ่ายพลังที่ฝีเย็บ มี หนึ่งเส้น จะรวมความร้อนเย็นจากปิตะและเสมหะเข้าสู่ปลายท่อ ส่วนล่างของเส้นสุมนา ผู้ฝึกพลังได้ระดับหนึ่งที่มีพลังไหลถ่ายเข้าปลายท่อส่วนล่างของเส้นสุมนา มากพอ จะทำให้เส้นนี้เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ มีแสงเป็นเปลวสีแดงกล่ำคล้ำดังเลือดนก มีอำนาจทะลุทะลวง สลาย ทำลาย ได้ทุกสรรพสิ่ง เป็นแสงที่มีอำนาจในการทำลายสูง (ทางอินเดีย/เนปาล เรียกพลังนี้ว่า พลังกุลฑาลินี ”) ผู้ ฝึกตนที่ไม่อาจควบคุมพลังตัวนี้ได้ จะเกิดอาการที่เรียกว่าไฟธาตุแตก จากลักษณะของเส้นนี้ ที่สามารถเปล่งแสงได้คล้ายดวงอาทิตย์ ท่านจึงตั้งชื่อเส้นนี้ว่า สุริยะรัตมณี
3. เส้นเชื่อมต่อ ศอเสมหะและกำเดา มีสองเส้น มีลักษณะคล้ายสังวาลพระอินทร์ เรียกว่า เส้นชิวหาสดมภ์
· เส้นแรก อยู่ด้านบน ทั้งซ้ายและขวา คล้องจากกำด้นผ่านเหนือหู ผ่านหน้าหู(บริเวณแก้ม) ลงมาที่กรามข้างหูแล้วผ่านตามกรามมาที่คางแล้วลงไปที่คอหอย
· เส้นที่สอง อยู่ด้านล่าง ทั้งซ้ายและขวา คล้องจากกำด้นผ่านต้นคอด้านข้างลงไปที่คอหอย
4. เส้นเชื่อมต่อ อุระเสมหะและพัทธะปิตะ มีสองเส้น มีลักษณะคล้ายสังวาลพระอินทร์ เรียกว่าเส้น กาลอัมพฤกษ์
· เส้นแรก อยู่ด้านบน ทั้งซ้ายและขวา คล้องจากกลางหลังผ่านเหนือบ่า ผ่านด้านข้างของกระดูกอกมาที่ตำแหน่งลิ้นปี่
· เส้นสอง อยู่ด้านล่าง ทั้งซ้ายและขวา คล้องจากกลางหลังผ่านเอว ตามแนวกระดูกซี่โครงมาที่ลิ้นปี่
5. เส้นเชื่อมต่อ คูถเสมหะและอพัทธะปิตะ มีสองเส้น มีลักษณะคล้ายสังวาลพระอินทร์ เรียกว่าเส้น อัณฑพฤกษ์(เส้นนี้ในสตรีเรียก พิษตคุณ หรือ จิตตคุณ)
· เส้นแรก อยู่ด้านบน ทั้งซ้ายและขวา คล้องจากกระเบนเหน็บผ่านแนวขอบกระดูกเชิงกรานไปที่หน้าท้องน้อย (ระหว่างสะดือและหัวเหน่า)
· เส้นที่สอง อยู่ด้านล่าง ทั้งซ้ายและขวา คล้องจากกระเบนเหน็บผ่านลงไปด้านล่างผ่านตะโพก คล้องผ่านหน้าขาด้านหน้า (ขาหนีบ) ผ่านสองข้างอวัยวะเพศไปสุดที่ท้องน้อยด้านหน้า
พลัง ที่ผ่านจากเส้นอัฏฐะพฤกษ์ทั้งแปด เข้าสู่เส้นสุมนา เกิด สัตถกวาตะ, หทัยวาตะ, และสุมนาวาตะ เกิดการไหลเวียนของพลังเข้าหล่อเลี้ยงร่างกาย วาตะทั้งสามตัวต้องทำงานร่วมกันจะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้
· ถ้าขาดสัตถกวาตะ กล้ามเนื้อจะนิ่ม ไม่สามารถสั่งงานกล้ามเนื้อได้ ท้ายสุดกล้ามเนื้อลีบ
· ถ้าขาดหทัยวาตะ กล้ามเนื้อจะลีบ อ่อนแรง ชา ปวด ไม่สามารถใช้งานกล้ามเนื้อได้
· ถ้าขาดสุมนาวาตะ กล้ามเนื้อจะเกร็งแข็งดุจท่อนไม้ไร้ชีวิต ท้ายสุด
กล้ามเนื้อตาย
สุมนาวาตะเป็นพลังงานชีวิต เป็นตัวชักนำวาตะอื่นๆให้ทำงาน ดังนั้นสุมนาวาตะย่อมเป็นใหญ่กว่า วาตะทั้งปวง
*** สัตถกวาตะ และหทัยวาตะมีสภาพเป็นรูปธรรม ซึ่งวิทยาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันได้ค้นคว้าไว้ละเอียดดีแล้วจึงไม่กล่าวไว้ในที่นี้อีก
         
  *** ส่วนของสุมนาวาตะอันเป็นพลังงานชีวิต ซึ่งจะมี อยู่เฉพาะในคนเป็นเท่านั้น ส่วนในคนที่เสียชีวิตแล้ว พลังตัวนี้และเส้นทางการไหลเวียนจะหายไปไม่สามารถสืบค้นหรือติดตามพิสูจน์ทราบได้ ดังนั้นวิทยาการของแพทย์แผนปัจจุบันจึงไม่ยอมรับ


ทฤษฏีการไหลเวียนของพลังชีวิตในเส้นสิบนี้   สุมนาวาตะจะมีจุดกำเนิดที่นาภี เป็นธาตุลมไหลผ่านเข้าไปในธาตุดิน20(คือร่างกาย) ทำการ ควบคุมอวัยวะภายในและภายนอก โดยมีเส้นทางดังนี้ ;-





กรณีศึกษา ร่างกายมนุษย์โดยมีข้อตกลงในการอธิบาย คือ..
      1. ซ้าย หมายถึงซ้ายมือของเจ้าของร่างผู้ถูกศึกษา
      2. ตำแหน่งนาภี ให้นำนาฬิกาวางไว้ที่ตำแหน่งสะดือของผู้ถูกศึกษา ตำแหน่งตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาเป็นทิศทางของเส้นต่างๆที่วิ่งออกจากนาภี มี 12 ตำแหน่ง ตำแหน่ง 1- 5 นาฬิกาจะอยู่ด้านซ้าย ตำแหน่ง 7-11 นาฬิกาจะเป็นด้านขวา

เส้นที่วิ่งออกจากนาภีประกอบด้วย
;-
      1. เส้นควบคุมการรับกลิ่น อวัยวะภายนอกและภายในช่องท้อง-อก ด้านหลัง เรียกว่าเส้น อิทา ปิงคลาหรือเส้นจมูก ซ้าย-ขวา มีแนวเส้นดังนี้
เส้นอิทา เส้นจมูกด้านซ้าย มีเส้นทางออกจาก นาภี ตำแหน่ง 4 นาฬิกา
· ผ่านหัวเหน่า แล่นลงต้นขา ผ่านหน้าขาลงไปถึงเข่าแล้วอ้อมผ่านเข่าด้าน
   หน้าวกกลับขึ้นไปผ่านทางสะโพกด้านหลัง
· ผ่านกระเบนเหน็บ รูกระดูกแรกนับจากด้านล่าง แล้วแนบกระดูกสันหลัง
   ขึ้นไปถึงกำด้น
· แล้วเดินเฉียงมากึ่งกลางศีรษะ แล้ววิ่งตรงขึ้นไปผ่านกลางกระหม่อม (เส้น
   นี้จึงรับและถ่ายเทพลังงานกับจันทรามณี ได้โดยตรง บางท่านจึงเรียกเส้น
   นี้ว่าเส้นจันทร์
)
· ลงหน้าผาก แล้วเอียงซ้ายหลบ ดวงตาที่สามอันเกิดจากเส้นปิงคลา
· ผ่านหัวตาลงมา ผ่านร่องกลางจมูก สุดที่ปีกจมูกซ้าย ตรงกลางริมฝีปาก
· และระบายเข้าสู้เส้นสุมนา ที่ลิ้น
เส้นปิงคลา เส้นจมูกด้านขวา มีเส้นทางออกจาก นาภี ตำแหน่ง 8 นาฬิกา
· เอียงเข้าหาสุริยะรัตตมณี ผ่านหัวเหน่า แล่นลงต้นขา ผ่านหน้าขาลงไปถึง
   เข่าแล้วอ้อมผ่านเข่าด้านหน้าวกกลับขึ้นไปผ่านทางสะโพกด้านหลัง
· ผ่านกระเบนเหน็บ รูกระดูกแรกนับจากด้านล่าง แล้วแนบกระดูกสันหลัง
   ขึ้นปถึงกำด้น
· แล้วมุดเข้าไปในกะโหลกศีรษะ(หลบจันทรามณี) โผล่ออกที่หน้าผาก เป็น
   ดวงตาที่สาม
· (ผู้ฝึกได้พลังกุลฑาลินี ตาดวงนี้จะเป็นตาไฟทำให้บางท่านเรียกเส้นนี้ว่า
   เส้นอาทิตย์
)
· แล้วผ่านหัวตาลงมา ผ่านร่องกลางจมูก สุดที่ปีกจมูกขวา ตรงกลางริม
   ฝีปาก
· และระบายเข้าสู้เส้นสุมนา ที่ลิ้น
      2. เส้นควบคุมการมองเห็น อวัยวะภายนอกและภายในช่องท้อง-อก ด้านข้างลำตัวเรียกว่าเส้นสหัสรังษี - ทวารีหรือเส้น ตา ซ้าย-ขวา มีแนวเส้นดังนี้

เส้นสหัสรังษี
เส้นตาซ้าย มีเส้นทางออกจาก นาภี ตำแหน่ง 3 นาฬิกา
· ผ่านหน้าขาลงไปถึงข้างเข่าด้านใน แล้วเลยเลาะไปตามข้างกระดูกสันหน้า
   แข้งด้านใน
· ผ่านตาตุ่มในด้านร้อยหวายเลาะข้างฝ่าเท้าไปที่นิ้วโป้ง
· แล้วผ่านนิ้วชี้ ไปโผล่ที่นิ้วก้อย เลาะข้างขอบเท้ามาที่ตาตุ่มด้านนอก
· แล้วเลาะแนบกระดูกขาไปตามน่องด้านนอก ผ่านหัวเข่าด้านนอก
· ผ่านขาด้านข้างขึ้นมาที่หัวตะคากและเอวด้านซ้าย จุดนี้แยกเป็นสองเส้น
* มีส่วนหนึ่งของเส้นไปที่ กระเบนเหน็บรูกระดูกที่ 2 นับจากด้านล่าง แล้ววิ่งขนานกับเส้น อิทา ขึ้นไปที่ต้นคอ (เรียกอีกชื่อว่าเส้นสันตฆาตซ้าย) ผ่านศีรษะขนานกับเส้นอิทา ไปที่หัวคิ้วด้านหน้าเข้าที่หัวตา ใต้ขอบตาด้านล่าง ลงที่มุมปากจุดบุ๋มกลางคาง แล้วลงที่คอหอย(หัวกระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย)
* ส่วนอีกเส้นหนึ่งวิ่งจากบั้นเอว(เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เส้นรัตฆาตซ้าย) เส้นนี้วิ่งไปที่กระเบนเหน็บ รูกระดูกที่ 4 วิ่งขึ้นไปใต้รักแร้ซ้ายด้านหลัง แล้วแยกเป็นสองเส้น
               ** เส้นหนึ่งวิ่งไปที่หัวนมซ้าย แล้วไปที่หัวกระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย     
     ** ส่วนอีกเส้นจะวิ่งเข้าไปในแขนซ้ายด้านหลังวิ่งไปที่นิ้วก้อย ผ่านทุกนิ้วออกที่หัวนิ้วโป้งวิ่งตามแขนมาที่ต้นแขนด้านหน้า เลาะไปตามบ่า (อยู่ใต้เส้นกาลธาลี / ปัตฆาต) มาที่คอด้านหลังเชื่อมกันกับเส้นสันตฆาตซ้าย แล้ววิ่งไปบนศีรษะขนานไปกับเส้นอิทาที่กลางศีรษะ
เส้นทวารี เส้นตาขวา มีเส้นทางออกจาก นาภี ตำแหน่ง 9 นาฬิกา
· ผ่านหน้าขาลงไปถึงข้างเข่าด้านใน แล้วเลยเลาะไปตามข้างกระดูกสันหน้า
   แข้งด้านใน
· ผ่าน ตาตุ่มในด้านร้อยหวายเลาะข้างฝ่าเท้าไปที่นิ้วโป้ง แล้วผ่านนิ้วชี้ ไป
   โผล่ที่นิ้วก้อย  เลาะข้างขอบเท้ามาที่ตาตุ่มด้านนอก แล้วเลาะแนบกระดูก
    ขาสันหน้าแข้งด้านนอกไปตามน่อง
· ผ่านหัวเข่าด้านนอก ผ่านขาด้านข้างขึ้นมาที่หัวตะคากและเอวด้านขวา จุด
   นี้แยกเป็นสองเส้น  
       * มีส่วนหนึ่งของเส้นไปที่ กระเบนเหน็บรูกระดูกที่ 2 นับจากด้าน
                  ล่าง แล้ววิ่งขนานกับเส้น ปิงคลา ขึ้นไปที่ต้นคอ
(เรียกอีกชื่อว่า
                  เส้นสันตฆาตขวา
) ผ่านศีรษะขนานกับเส้น อินทาไปที่หัวคิ้ว
                  ด้านหน้าเข้าที่หัวตาขวา ใต้ขอบตาด้านล่าง ลงที่มุมปากขวา จุด
                  บุ๋มกลางคาง แล้วลงที่คอหอย
(หัวกระดูกไหปลาร้าด้านขวา)
* ส่วนอีกเส้นหนึ่งวิ่งจากบั้นเอว(เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เส้นรัตฆาตขวา)
    มีเส้นนี้วิ่งไปที่กระเบนเหน็บ รูกระดูกที่ 4  วิ่งขึ้นไปไต้รักแร้ขวา
    ด้านหลัง แล้วแยกเป็นสองเส้น
       ** เส้นหนึ่งวิ่งไปที่หัวนมขวา แล้วไปที่หัวกระดูก
                     ไหปลาร้าขวา
       ** ส่วนอีกเส้นจะวิ่งเข้าไปในแขนขวาด้านหลังวิ่ง ไป
                     ที่นิ้วก้อย ผ่านทุกนิ้วออกที่หัวนิ้วโป้งมือขวาวิ่งตาม
                     แขนมาที่ต้นแขนด้านหน้า เลาะไปตามบ่า
(อยู่ใต้เส้น
                     กาลธารี
/ ปัตฆาต) มาที่คอด้านหลังเชื่อมกันกับเส้น
                     สันตฆาตขวา แล้ววิ่งไปขนานกับเส้นอินทา ที่กลางศีรษะ
      3. เส้นควบคุมการได้ยินเสียง อวัยวะภายนอกและภายในช่องอก ด้านหน้าลำตัว เรียกว่าเส้นจัทภูสัง รุทัง( รุชำ )หรือเส้น หู ซ้าย-ขวา มีแนวเส้นดังนี้

เส้นจันทภูสัง เส้นหูด้านซ้าย มีเส้นทางออกจาก นาภี ตำแหน่ง 1 นาฬิกา
· ผ่านหน้าท้องด้านซ้ายไปที่หัวนมด้านซ้ายแล้วไปที่หัวดุมไหล่
· มีส่วนหนึ่งไปที่แขน(ยังหาทิศทางไม่ได้)
· อีกส่วนหนึ่งวิ่งไปตามบ่า ขนานไปกับเส้นสหัสรังษี วิ่งไปที่ใต้ใบหูซ้าย
เส้นรุทัง เส้นหูด้านขวา มีเส้นทางออกจาก นาภี ตำแหน่ง 11 นาฬิกา
· ผ่านหน้าท้องด้านขวาไปที่หัวนมด้านขวาแล้วไปที่หัวดุมไหล่
· มีส่วนหนึ่งไปที่แขน(ยังหาทิศทางไม่ได้)
· อีกส่วนหนึ่งวิ่งไปตามบ่า ขนานไปกับเส้นทวารี วิ่งไปที่ใต้ใบหูขวา
4. เส้นควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วน รวมถึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ห้อยแขวน
อวัยวะ
ภายนอกและภายในทั้งหมด เรียกว่าเส้น
กาลธาลีด้านซ้าย และ
ขวา มีแนวเส้น
ดังนี้

เส้นกาลธาลี ด้านซ้าย ออกจาก นาภี ตำแหน่ง 2 นาฬิกา
· ผ่านหน้าท้องด้านซ้ายแล้วแยกออกเป็นสองเส้น  
*1 เส้นหนึ่งไปที่หัวนมด้านซ้ายแล้วแยกออกเป็นสองเส้น
  **1.1 เส้นหนึ่งไปที่ตรงกลางของกระดูกไหปลาร้าซ้ายผ่านต้นคอไปที่ กึ่งกลางของกรามด้านซ้ายผ่านใต้โหนกแก้ม ไปขมับอ้อมผ่านหลังหูไปที่ต้นคอ เข้าเชื่อมต่อกับเส้นกาลธาลีจากด้านหลัง
  **1.2 อีกเส้นทะลุจากอกไปออกที่สะบักด้านหลังส่วนบน และล่าง แล้ว ไปที่หัวดุมไหล่เข้าที่แขนด้านบนวิ่งตรงไปออกที่หลังมือ แล้วแยกออกเป็น 5 เส้นไปตามนิ้วมือ
*2 อีกเส้นหนึ่งแยกตรงหน้าท้องแล้ววิ่งตรงลงเบื้องล่าง แล้วแยกออกเป็นสองสาย
  **2.1 สายหนึ่งวิ่งลงตามหน้าขาผ่านหัวเข่าไปตามสันหน้าแข้งไปถึงข้อเท้าแล้วแตก เป็น 5 เส้น ไปตามนิ้วเท้าทั้งห้าด้านหลังเท้า
  **2.2 อีกเส้นที่แยกออกไปที่กระเบนเหน็บ รูกระดูกที่ 3 นับจากข้าง
ล่าง แยกเป็นสองทาง

   *** 2.2.1 ทางแรกผ่านกลางก้นลงไปตามขาอ่อนด้านหลัง ลงไปกลางน่องจนถึงส้นเท้าแล้วแตกเป็น 5 เส้น ไปตามนิ้วเท้าด้านฝ่าเท้า
   *** 2.2.2 ทางที่สองวิ่งไปตามแนวกระดูกสันหลัง(เรียกว่าเส้นปัตฆาต) ขนานไปกับเส้นอิทา (มุตฆาต) เส้นสหัสรังสี (เส้นสันตฆาต) ผ่านสะบักด้านล่าง (ร้อยกับเส้นกาลธาลีที่มาจากอก) แยกเป็นสองสาย
    **** 2.2.2.1 สายหนึ่งแยกไปเข้าแขนด้านล่าง ตรงไปฝ่ามือแล้วแยกออกเป็น 5  เส้นไปที่นิ้วมือ
    **** 2.2.2.2 อีกสายหนึ่งแยกตรงขึ้นไปที่ต้นคอด้านหลัง เชื่อมกับเส้นกาลธาลีที่มาจากศีรษะ และเชื่อมไปที่ดุมไหล่ (เรียกปัตฆาตไหล่)
เส้นกาลธาลี ด้านขวา ออกจาก นาภี ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ผ่านหน้าท้องด้านขวา แล้วแยกออกเป็นสองเส้น เส้นทางเป็นเช่นเดียวกันกับ กาลธาลี ด้านซ้าย
5.  เส้นควบคุมระบบการขับถ่าย สุขุมัง หรือเส้นทวารหนัก
· แนวเส้นสุขุมัง  มีเส้นทางออกจากนาภีที่ตำแหน่ง 5 นาฬิกา
· ตรงไปทวารหนัก และลำไส้ใหญ่
6.  เส้นควบคุมระบบสืบพันธุ์เรียกว่าเส้นคิฏชะหรือเส้นทวารเบา ในสตรีเรียกเส้น สิกขินี
· มีแนวเส้นออกจาก นาภี ตำแหน่ง 7 นาฬิกา
· วิ่งตรงไปที่กระเพาะปัสสาวะ และอวัยวะเพศ อัณฑะ(ในบุรุษ) หรือ
              มดลูก
(ในสตรี)
7. เส้นควบคุมการรับรู้รส ระบบไหลเวียนโลหิต และลม เรียกว่าเส้น สุมนา มีแนวเส้นแยกออกเป็นสองเส้นดังนี้
· ตำแหน่ง 12 นาฬิกา แล่นจากนาภีตรงขึ้นไป ผ่านขั้วหัวใจ แนบคอหอย
   ตลอดลิ้นจึงสิ้นสุด
เป็นแนวเส้นสุมนาส่วนบน รากส่วนบนคือลิ้น
           · ตำแหน่ง 6 นาฬิกา แล่นจากนาภีลงสุดปลายอวัยวะเพศ เป็นเส้นสุมนา
               ส่วนล่างมีอีกชื่อว่า เส้น
อนันทะจักระหวัด/นันทะจักระหวัด คือลำตัว
               อวัยวะเพศ
 ข้อสังเกต
1. ความจริงแล้วแนวเส้น สุขุมัง, คิฏชะ(สิกขินี) และนันทกะหวัด มีแนวเส้นที่อยู่ชิดกันมาก แนวของเส้นอนันทะจักระหวัด/นันทะจักระหวัด จะอยู่ตรงกลาง แนวเส้นของคิฏชะ(สิกขินี) อยู่ลึกลงไปเอียงไปด้านขวาเล็กน้อย ส่วน แนวเส้นของ สุขุมัง อยู่ลึกกว่าเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย และมีเส้น อัณฑพฤกษ์(พิษตคุณ/จิตตคุณ) ส่วนล่าง ขนาบข้างวิ่งจากล่าง (อนันทะจักระหวัด/นันทะจักระหวัด) ขึ้นบนจนถึงท้องน้อย ระบบทั้งหมดจะเกี่ยวพันกัน ในการนวดรักษา นาคราชคืนชีพ และ นกยูงรำแพน
2. ให้สังเกตุแนว เส้นที่ออกจากนาภี จะมีจุดตัดกับแนวเส้น อัฏฐะพฤกษ์ทั้งแปด (ท้อง, อก, คอ) จุด ตัดดังกล่าว มีตั้งแต่หัวถึงขา จะเป็นเส้นทางระบายพลังส่วนเกิน ในแต่ละเส้นให้กลับเข้าสู่เส้นสุมนา จุดตัดดังกล่าวเป็นจุดสำคัญในการนวดพิสดาร ซึ่งจุดตัดแต่ละจุดมีชื่อเรียกดังนี้
จุดตัดของเส้น อิทา-ปิงคลา กับเส้นอัฎฐพฤกษ์ เรียก มุตตฆาต
จุดตัดของเส้น สหัสรังสี-ทวารี ส่วนหน้าท้องและสันหลังกับเส้น
           อัฏฐะพฤกษ์  เรียก
สันตฆาต
จุดตัดของเส้น กาลธาลี กับเส้นอัฏฐะพฤกษ์ เรียก ปัตตฆาต
จุดตัดของเส้น สหัสรังสี-ทวารี ส่วนเอวข้าง กับเส้นอัฏฐะพฤกษ์
           เรียก
รัตตฆาต
สรุปชื่อเส้นสิบ
1. เส้น สุริยัน
2. เส้น จันทรา
3. เส้น สุมนา (มี 2 เส้น )
          
· สุมนารากส่วนบนคือตัวลิ้น
            · อนันทะจักระหวัด/นันทะจักระหวัด ( นันทะจักระหวัด รากสุมนาส่วนล่างคือ ตัวอวัยวะเพศ หญิง  อนันทะจักระหวัด รากสุมนาส่วนล่างคือ ตัวอวัยวะเพศชาย)
4. เส้น อัฎฐพฤกษ์ (มี 8 เส้น)
· เส้น จันทรามณี (มี 1 เส้น)
· เส้น ชิวหาสดมภ์ (มี 2 เส้น บนซ้าย บนขวา, ล่างซ้าย - ล่างขวา)
· เส้น กาลอัมพฤกษ์ (มี 2 เส้น บนซ้าย บนขวา, ล่างซ้าย - ล่างขวา)
· เส้น อัณฑพฤกษ์ (มี 2 เส้น บนซ้าย บนขวา, ล่างซ้าย - ล่างขวา)ในสตรีเรียก เส้นพิษตคุณ ในชายเรียก เส้น จิตตคุณ
· เส้น สุริยะรัตตมฌี (มี 1 เส้น)
5. เส้น อิทา, ปิงคลา (เส้นควบคุมระบบการหายใจ จมูก ซ้าย, ขวา)
6. เส้น สหัสรังสี, ทวารี(ทุวารี) (เส้นควบคุมระบบการมองเห็น ตา ซ้าย, ขวา)
7. เส้น จันทภูสัง, รุทัง(รุชัง) (เส้นควบคุมระบบการได้ยินเสียง หู ซ้าย, ขวา)
8. เส้น กาลธารี (เส้นควบคุมระบบกล้ามเนื้อ)
9. เส้น คิฏชะ ในชาย ในสตรีเรียก สิขินี (เส้นควบคุมระบบสืบพันธุ์และทวารเบา)
10. เส้น สุขุมัง (เส้นควบคุมระบบขับถ่ายและทวารหนัก)