พระคัมภีร์ปฐมจินดา ผูก ๔ บริเฉท ๑
นโม ตัสฺส ภควโต อรหโต สัมฺมาสัมฺพุทฺธัสฺส
นมัสฺสิต๎วา จ เทวินฺทํ เทวราชสักฺกํ อิว ชีวกโกมารภัจฺจํ โลกนาถํ ตถาคตํ
ปฐมจินฺตารคันฺถํ ภาสิสฺสํ ฉันฺทโสมุขํ
สํเขเป็น กิตฺตยิตํ ปุพฺเพ โลกาน นาถัตฺถันฺติ
แปล (อหํ) อันว่าข้า (นมัสฺสิตฺวา) ถวายนมัสการแล้ว (ตถาคตํ)
ซึ่งพระศรีสุคตทศพลญาณเจ้า (โลกนาถํ) เป็นที่พึ่งของโลกย์ (จ) อนึ่งโสด (อหํ)
อันว่าข้า (อภิวันฺทิตฺวา) ไหว้แล้วโดยพิเศษ (ชีวกโกมารภัจฺจํ) ซึ่งชีวกโกมารภัจ
แพทย์ผู้ประเสริฐ (เทวราชสักฺกํ อิว) เปรียบดุจสมเด็จอมรินทราธิราชบพิตร
(เทวินฺทํ) ผู้มีมหิศรภาพเป็นจอมมกุฎแก่เทพย์บุตย์ทั้งหลาย (ภาสิสฺสํ)
จักแสดงบัดนี้ (คันฺถํ) ซึ่งพระคัมภีร์แพทย์อันวิเศษ (ปฐมจินฺตารํ) ชื่อประถมจินดา
(ฉันฺทโสมุขํ) อันเป็นหลักเป็นประธานแห่งพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ทั้งปวง (กิตฺตยิตํ)
อันพระอาจารย์โกมารภัจ แต่งไว้ (ปุพฺเพ) ในกาลก่อน (สังเขเป็น) โดยสังเขป
(นาถัตฺถํ) เพื่อจะให้เป็นที่พึ่ง (โลกานํ) แก่สัตว์โลกย์ทั้งหลาย (เอวํ)
ด้วยประการดังนี้นมัสฺสิต๎วา จ เทวินฺทํ เทวราชสักฺกํ อิว ชีวกโกมารภัจฺจํ โลกนาถํ ตถาคตํ
ปฐมจินฺตารคันฺถํ ภาสิสฺสํ ฉันฺทโสมุขํ
สํเขเป็น กิตฺตยิตํ ปุพฺเพ โลกาน นาถัตฺถันฺติ
พระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก
๔ กล่าวด้วยอภัยสันตา, แลทรางเจ้าเรือน ๗ จำพวก, ทรางโจรทรางเพลิง, ต้อ ทรางโจร, ไข้ประจำทรางเจ้าเรือน, เม็ดยอดทรางเจ้าเรือนทรางจรแทรก, บริบูรณ์โดยสังเขปดังนี้
สิทธิการิย จะกล่าวคัมภีร์เตร็จ อันนี้ ซึ่งพระอาจารย์เจ้า
ท่านคัดออกมาแต่พระคัมภีร์อไภยสันตา เอามาตั้งไว้ในพระคัมภีร์ปฐมจินดา (ผูก๔)
นี้ต่อไปเป็นอาทิ หวังจะให้แพทย์ซึ่งมีปัญญายังอ่อนอยู่
จะพิจารณาดูโรคในคัมภีร์อันพิศดา
นั้นไม่ตลอดจึงกล่าวไว้แต่ย่อพอให้รู้โดยง่ายดังต่อไปนี้
อัน ว่าลักษณะกุมารกุมารีผู้ใด เกิดมาในวันอาทิตย์ วันอังคาร
แลวันเสาร์ก็ดี ถ้าคลอดเวลาเที่ยงเวลาบ่ายแลเที่ยงคืนก็ดีเป็นลักษณะแห่งทรางไฟ, ทรางแดง, ทราง
โจรเจ้าเรือน ถ้าแพทย์จะรักษาให้ระวังภายใน
อย่าให้แม่ทรางประจำวันเข้าจับเอาภายในได้ ถ้าแลจับเอาหัวตับหัวใจเมื่อใดแล้ว
แพทย์ที่จะเยียวยานั้นยากนัก ถ้าจับเอาไส้แก่ให้มีอาการลงท้อง
ถ้าจับศีร์ษะให้ศีร์ษะเป็นปุ่ม ถ้าจับตาให้ตาเสียแต่ตัวนั้นไม่ตาย ถ้าจับเอาหัวตับ,
หัวใจ สำแดงโทษให้ลงเป็นโลหิตสดๆ ออกมาก่อนแล้วจึงเหน้า
กระทำให้ตัวแลหน้าเหลืองซีดปากแดง ถ้าลูกตานั้นเหลืองเข้าเมื่อใดแล้ว
ก็ให้ตกมูกตกโลหิต แลตับนั้นก็หย่อนลงไป แล้วก็กระทำให้จับเป็นเวลา
แล้วจึงขึ้นจับที่ลำคอกระทำให้กินเข้ากินนมมิได้ แลให้ปากแห้งคอแห้ง
ถ้าขึ้นจับทรวงอกให้อยากน้ำเป็นกำลัง ครั้นกินน้ำอิ่มแล้วก็ให้ตาแห้งหาน้ำตามิได้
ถ้าแพทย์ผู้ใดวางยามิถูก กุมารผู้นั้นก็จะถึงแก่กรรม
อันว่าลักษณะกุมารกุมารีผู้ใด เกิดมาในวันจันทร์, วัน พุฒ
คลอดเวลาเช้าเวลาเที่ยงก็ดี ครั้นมารดาออกจากเรือนไฟแล้วประมาณ ๓ เดือน
จึงตั้งกำเนิดทรางน้ำทรางสะกอเจ้าเรือน เมื่อจะบังเกิดนั้น
คือตั้งแต่ลำคอต่อลงมาถึงเพดาลุปากจำพวกหนึ่ง จำพวกหนึ่งกินนอกไส้ขึ้นมาถึงต้นลิ้น
แล้วให้เป็นเกล็ดดังปลาตะเพียน แล้วให้เปื่อยออกไปถึงต้นไส้ จึงกระทำให้ลงแดง
ให้กระหายน้ำให้เชื่อม ถ้าแพทย์วางยาชอบกุมารผู้นั้นจึงจะได้ชีวิตรคืน
ถ้า จะแก้ท่านให้เอา เขากระบือเผือก ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ สีเสียดทั้ง ๒
ดอกบุนนาค ๑ เกสรบัวหลวง ๑ น้ำประสารทอง ๑ กระเทียม ๑ รวมยา ๘
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งละลายน้ำจันทนฺกินแก้ลงท้องเพื่อทรางน้ำ
ยาแก้ลงทรางสะกอ ขนานนี้ท่านให้เอา ผลจันทนฺ ๑ ครั่ง ๑ สีเสียดเทศ ๑ เกสรบัวหลวง ๑
เกสรบัวขม ๑ น้ำประสานทอง ๑ ดีงูเหลือม ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาน้ำมะนาวเป็นกระสายบดทำแท่ง ละลายสุรากินแก้ลงเป็นยางบอน ก็ดี ตกมูกตกโลหิตก็ดี
หายสิ้นทุกประการ
ยาแก้ลงเพื่อทรางน้ำ, ทรางสะกอ ขนานนี้เอาหนามหวายขม ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ ดีงูเหลือม
๑ รวมยา ๓ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายผลมะพลับจีนกินแก้ลงเพื่อทรางน้ำ ทรางสะกอ ซึ่งลงเป็นดังน้ำล้างเนื้อ
แลให้สลบไปก็ดี
ขนาน หนึ่งเอา กระเทียม ๑ ผลมะตูม ๑ จันทนฺแดง ๑ เปลือกโมกมัน ๑
ผลเบ็ญกานี ๑ ผลทับทิมอ่อน ๑ น้ำตาลทราย ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายน้ำร้อนกินแก้ลง เพื่อทรางน้ำ, ทรางสะกอ ซึ่งลงดังน้ำมูก, ดังยวงฝ้ายแลไข่เน่าก็ดี
หายสิ้นทุกประการ
อันว่าทรางฝ้ายนั้นขึ้นลิ้นดาดดังยวงฝ้าย ขาวดังสำลีดีดแล้ว
มักให้ลงท้องเหม็นดังไข่เน่า ถ้าจะแก้เอา หางนกยูงเผา ๑ เมล็ดในมะนาว ๑ ดอกบุนนาค
๑ ดีงูเหลือม ๑ น้ำตาลทราย ๑ น้ำผึ้ง ๑ บดด้วยน้ำมะนาวกิน
ทรางส กอจำพวกหนึ่ง กระทำให้ปากแดงให้ลงเป็นกำลัง ให้เท้าเย็นมือเย็น
ถ้าจะแก้เอาครั่ง ๑ สีเสียดทั้ง ๒ หว้านน้ำ ๑ ชะเอม ๑ กะทือ ๑ ผลเบ็ญกานี ๑
จันทนฺขาว ๑ งาช้าง ๑ น้ำมะนาว ๑ น้ำตาลทราย ๑ รวมยา ๑๑
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งละลายน้ำกะทือน้ำกระเทียมก็ได้กิน
อันว่าลักษณะกุมารกุมารีเกิดมา ในวันพฤหัศบดี, วันศุกร์, นั้นเป็นกำเนิดแห่งทรางโค,
ทราง ช้างเจ้าเรือน ทรางเข้าเปลือกเป็นทรางแซก
ถ้าคลอดเวลารุ่งหรือเวลาค่ำก็ดี เมื่อมารดาออกจากเรือนเพลิงแล้วได้เดือน ๑ กับ ๑๕
วัน แม่ทรางจึงขึ้นคอขึ้นลิ้น เมื่อแรกนั้นขาวดังดีบุก ครั้นต่อมาได้ ๒ วัน ๓ วัน
ก็ให้เหลืองดังสีเข้าโภชนฺ ครั้นกวาดยาก็ด้านลง ไปวันหนึ่งสองวัน
แล้วขึ้นขอบตาทั้ง ๒ ข้าง แลขาอ่อนทั้งสองข้าง ให้พรึงเป็นแผ่นสีเขียวสีแดงก็มี
ให้ลงเป็นกำลัง ครั้นแก้ลงหยุดก็พรึงขึ้นทั้งตัว ให้ตัวแดงดังผลตำลึงสุก
คนสมมุติว่าออกหัด แต่มิใช่หัดเป็นเพราะเภททรางจำพวกนี้เอง บางทีผุดขึ้นมาเป็นแผ่นเท่าเมล็ดสบ้าเท่าใบพุดทราก็มี
รายขึ้น เสมอเนื้อให้เขียว, แดง, ดำ
ก็ดี ดังเอาหวายฟาดหรือดังตีด้วยมือ ทรางจำพวกนี้ร้ายนักมีพิษดุจไข้ลากสาตร
ถ้าแพทย์ผู้ใดไม่ชำนาญแล้วไปรับรักษา ก็เหมือนหนึ่งไปแกล้งฆ่ากุมารฉนั้น
ถ้า จะแก้เอาเปลือกโมกมัน ๑ เปลือกปะโลง ๑ แห้วหมู ๑ รากก้างปลาแดง ๑
หนามหวายขม ๑ ฝางเสน ๑ เมล็ดในสะแก ๑ น้ำตาลโตนด ๑ รวมยา ๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ต้ม
๓ เอา ๑
กินแก้พิษภายในให้ลงเสียก่อนแล้วจึงแก้ต่อไปให้แก้ด้วยยาอันชื่อว่าเบ็ญจตาน
แลประสระแสงทองนั้นเถิด
ยาชะโลม ขนานนี้เอาใบขนุนละมุด ๑ ใบสับประรด ๑ ใบหญ้านาง ๑ ดินประสิวขาว ๑
ดินสอพอง ๑ ตำเอาน้ำพ่น เนืองๆ
ขนานหนึ่งเอา ใบผักปลังขาว ๑ ปลายเข้าสาร ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ตำชะโลม
ดุจดังกัน
อัน ว่าลักษณะทรางเข้าเปลือกตัวเมียนั้น
เมื่อจะบังเกิดให้พรึงขึ้นดุจเมล็ดเข้าฟ่างทั่วทั้งตัว ยอดนั้นแดง ครั้นสุกแล้วก็แตกออกดังโรคกลากแลพรรไน
ทำพิษให้เจ็บในคอกินเข้ากินนมมิได้ ให้ตาแข็งแลท้องขึ้น
ทรางจำพวกนี้เกิดออกมาแต่ไส้ใหญ่ก่อน แล้วจึงมาขึ้นต้นลิ้น ภายหลังจึงออกทั้งตัว
ถ้าจะแก้เอาจันทนฺแดง ๑ เนระภูสี ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ ผลสาระพัดพิษ ๑
รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ ทำแท่งละลายน้ำจันทนฺกิน
อัน ว่าลักษณะทรางเพลิงตัวผู้แลอาการนอกนั้น
คือให้ปากแดงแลฝ่ามือฝ่าเท้าแดง ให้ลงท้องตกมูกตกโลหิต
ตัวร้อนเป็นเวลาให้จับเชื่อมมึนไป ถ้าแพทย์จะแก้ให้ดูทวารหนัก
ถ้าเห็นแดงดังดอกสัตบุษย์ รอบทวารหนักแล้วเมื่อใด อาการแลลักษณะเภท
ดังนี้เป็นอาการแลเภทตัด ถ้ารักษาไปปลายมือ จะกระทำต่างๆ จนกุมารผู้นั้นตาย
ถ้า จะแก้ให้เอา หญ้าใต้ใบ ๑ จันทนฺแดง ๑ กรามแรด ๑ กรามช้าง ๑ รวมยา
๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายสุราหรือน้ำผึ้งก็ได้รำหัดพิมเสนกินเสียก่อน
แล้วจึงแต่งยาให้กินต่อไป
ยาแก้ทรางเพลิง ขนานนี้เอา โกฐทั้ง ๕ กฤษณา ๑ กระลำภัก ๑ ชะลูด ๑ ขอนดอก ๑ พิมเสน ๑
น้ำประสานทอง ๑ รากไคร้เครือ ๑ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน เทียนทั้ง ๕ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ
๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ ผลราชดัด ๑ ผลสาระพัดพิษ ๑
เอาสิ่งละ ๒ ส่วน รวมยา ๒๕ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ บดทำแท่งละลายน้ำจันทนฺกิน
แก้พิษทรางเพลิงทรางแห้ง
ยาต้มแก้เชื่อมมัวทรางเพลิง ขนานนี้เอา ดอกบุนนาค ๑ อบเชยเทศ ๑ โกฐก้านพร้าว
๑ รากแฝกหอม ๑ หัวหอม ๑ ผลมะตูมอ่อน ๑ ผลกระวาน ๑ ใบพิมเสน ๑ ยาทั้งนี้เอาเสมอภาค
ต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้เชื่อมแก้มึน
ยาทาทวารหนัก ขนานนี้เอา ใบสองสลึง ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ เนระภูสี ๑
บดด้วยน้ำมันงาทาทวารแดงทวารเปื่อย
ยาขับพิษทรางเพลิง ในอกในลิ้นขนานนี้ เอาทะลายหมากดิบ ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ใบมะยมตัวผู้ ๑
ข่าแก่ ๑ ดีงูเหลือม ๑ บดละลายสุรากินล้อมตับดับพิษทรางเพลิง
อัน ว่าลักษณะทรางโจรทรางเพลิงนั้นย่อมมีเภท ดุจกัน
ให้แพทย์พึงรู้ดังนี้ ทรางโจรทรางเพลิงนั้นย่อมบังเกิดแก่กุมาร
คือถ้าเกิดวันอาทิตย์วันเสาร์นั้น
บางทีกุมารเกิดวันอาทิตย์ทรางเพลิงเป็นเจ้าเรือนทรางโจรแซก
บางทีกุมารเกิดวันเสาร์ทรางโจรเป็นเจ้าเรือน ทรางเพลิงแซก เข้าเป็นสองชื่ออยู่ดังนี้จึงเรียกว่าทรางโจรทรางเพลิง
มีลักษณะดังนี้ต่างกันออกทับทรางเพลิง คือแม่ทรางโจรนั้นตั้งขึ้นกลางลิ้นไก่
เข้าไปหาแม่ดังเมล็ดเข้าเม่า จึงกระทำให้คอแห้งกินเข้ากินนมมิได้ ให้ตาฟางก่อน
สีตาเหลืองเหมือนดังควันเทียน แล้วให้เชื่อมมึนให้ตัวร้อน ครั้นวางยาชอบ ถอยลง ไปให้แต่
๔ เดือน ๕ เดือนแล้วค่อยกลับขึ้นมาใหม่ ให้อยากพริกแลของคาวซึ่งชอบกับโรค
เมื่อจะกำเริบขึ้นนั้นกระทำให้ลงท้องจะนับเวลามิได้ เป็นโลหิตเสมหะเน่าออกมา
แล้วให้แปรเป็นไปต่างๆ แลให้ซูบผอมสันแข้งเป็นหนามดังหนังกระเบน
ตาก็ตั้งเป็นเกล็ดกระดี่ ขึ้นก่อนแล้วจึงแดงลามออกไปก็กลายเป็นต้อก้นหอยอยู่ประมาณ
๔ วัน ๕ วันก็แตกออก กุมารผู้นั้นก็ถึงแก่ความตาย
ถ้าจะแก้ เอารากส้มเสี้ยว ๑ สีเสียดเทษ ๑ น้ำตาลทราย ๑
บดด้วยน้ำนมทาลิ้นเสียก่อน ๔ หรือ ๕ เวลา แล้วจึงแก้ต่อไป
ยาแก้คอ, แก้ไอ, แก้ราก, แก้สอึก ขนานนี้เอา ตรีผลา ๓ กระพังโหม ๑ ผักหวาน ๑
ใบกระเพรา ๑ ใบมะกล่ำเครือ ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดละลายน้ำผึ้งทาลิ้น
ยาแก้ลงแก้ตกมูกตกเลือดแลปวดมวน ขนานนี้เอาหว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑
จันทนฺทั้ง ๒ เนระภูสี ๑ ผลประคำดีควาย ๑ สีเสียดเทศ ๑ รวมยา ๗
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งละลายสุรากิน แก้ทรางโจรทรางเพลิง
ถ้า มิฟัง เอาหว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ จันทนฺแดง ๑ ผลเบ็ญกานี ๑
รากกะทกรก ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ หัวหอม ๑ ผลประคำดีควายเผา ๑ รวมยา ๙
สิ่งนี้ทำเป็นจุณ บดทำแท่งละลายสุราแซกดีงูเหลือมกิน
ขนานหนึ่งเอา งาช้าง ๑ เขากวาง ๑ เทียนทั้ง ๕ บดให้กินแก้อับจน
ยากวาดแก้ทรางโจรทรางเพลิง ขนานนี้เอา พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ หัวกระเทียม ๑
กานพลู ๑ เปลือกไข่ฟัก ๑ รงทอง ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาคบดทำแท่งไว้ทาปาก
ขนาน หนึ่งเอา มูลแมลงสาบ ๑ เขากวาง ๑ หางนกยูงเผา ๑ หวายตะค้า ๑
พริกไทย ๑ หัวกระเทียม ๑ เข้าไหม้ ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ทำผงก็ได้
ทำแท่งก็ได้ แก้ลิ้นกุมาร
ยาแก้ร้อนภายใน เอารากพุงดอ ๑ รากงวนหมู ๑ รากเสนียด ๑ รากคูน ๑ รากมะเดื่อ ๑
รากสลอดน้ำ ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายน้ำซาวเข้ากินแก้ร้อน แก้ระหายน้ำทรางโจรทรางเพลิง
ยาแก้ทรางแห้ง คือทรางโจรทรางเพลิง ถ้าขึ้นตาเป็นเกล็ดกระดี่
แล้วให้เป็นยอดขึ้นพรึงไปทั้งตัวดังผด เอาหอมแดง ๑ รากนมแมว ๑ รากเข็มเหลือง ๑
พรมมิ ๑ กระทือ ๑ ไพล ๑ กระเทียม ๑ หว้านเปราะ ๑ รากถั่วภู ๑ เขากวาง ๑ นอแรด ๑
เขากุย ๑ เขี้ยวเสือ ๑ เขี้ยวจรเข้ ๑ เขี้ยวหมี ๑ เขี้ยวหมู ๑ เขี้ยวแรด ๑ โกฐทั้ง
๕ เทียนทั้ง ๕ การบูร ๑ น้ำประสานทอง ๑ รวมยา ๒๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาน้ำดอกไม้เป็นกระสายบดทำแท่งละลายน้ำแตงกวากิน แก้ในตาต้อทั้ง ๔
แลต้อสำหรับทรางกุมารทั้งปวง
ยาแก้ต้อเกล็ดกะดี่ ขนาน นี้เอา เบ็ญจผักบุ้ง หัวหญ้าชันกาด ๑ ดอกแตงกวา ๑ ดอกตำลึง ๑
บันลังสิลา ๑ สังข์ ๑ ดินถนำ ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายน้ำแตงกวาใส่ต้อ
ยาแก้ตาฟางกุมาร ขนานนี้เอา เกสรบัวหลวง ๑ ดอกกระดังงา ๑ ดอกสลิด ๑ ดอกสาระภี ๑
พิมเสน ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาค เอาน้ำค้างเป็นกระสาย
บดทำแท่งไว้ละลายน้ำนมคนแซกน้ำใจใคร่เป็นกระสาย
ยาแก้ต้อก้นหอย ขนานนี้เอา ดอกสัตบุษย์ ๑ สมอเทศ ๑ เทียนดำ ๑ เทียนขาว ๑ ดีปลี ๑
ดินถนำ ๑ ตุกต่ำน้ำทอง ๑ รากพุดซ้อน ๑ รากอัญชันทั้ง ๒ รากทองหลางใบมน ๑ รากมะไฟ ๑
รวมยา ๑๒ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ เอาน้ำมะนาวเป็นกระสายบดทำแท่งละลายน้ำใบตำลึงเป็นยากัดฝ้าเว้น
๓ วัน ใส่ครั้งหนึ่ง
ถ้า จะให้กัดมากขึ้นไป เอาเกลือแซก ๑ น้ำประสานทอง ๑ การบูร ๑
เอาสิ่งละ ๑ ส่วน กระวาน ๑ ชะมดเชียง ๑ ดีงูเหลือม ๑ ดีจรเข้ ๑ ดีหมูป่า ๑
เอาสิ่งละ ๒ ส่วน ตุกต่ำน้ำทอง ๑ ดีปลี ๑ กานพลู ๑ จุณสี ๑ เทียนดำ ๑ เทียนขาว ๑
ผลเบ็ญกานี ๑ จันทนฺทั้ง ๒ โกฐสอ ๑ โกฐหัวบัว ๑ โกฐจุลาลำภา ๑ ขอนดอก ๑ ผลจันทนฺ ๑
เปลือกมะรุม ๑ หัวอุตพิด ๑ กระชาย ๑ กระเทียม ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๔
ส่วน สังข์ ๑ ดินถนำ ๑ เอาสิ่งละ ๓๒ ส่วน รวมยา ๓๒ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ เอาน้ำมะนาวเป็นกระสาย
บดทำแท่งละลายน้ำเถาตำลึงใส่ตา ถ้าจะให้กัด แรงขึ้นอีก เอาเมล็ดในละมุดสีดาแซกใส่
กัดสาระพัดต้อทั้งปวง
ยากัดต้อก้นหอย, ต้อลิ้นหมา ขนานนี้เอา ผลมะกล่ำขาว ๑ ผลมะกล่ำดำ ๑ ผลจิก ๑
ผลยาง ๑ เมล็ดสบ้าลิง ๑ ตำลึงลาย ๑ เมล็ดในแคแดง ๑ หัวบุก ๑ หัวกลอย ๑ หัวอุตพิด ๑
หัวเถาคัน ๑ เปลือกไข่ฟัก ๑ เบี้ยผู้ ๑ สังข์ ๑ หัวตะโหนด ๑ (บาง ฉบับว่า หัวโขมด ) ดินถนำ ๑
พิมเสน ๑ รวมยา ๑๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาน้ำเถาตำลึงเป็นกระสายบดทำแท่งละลายน้ำใส่ตา
เป็นยากัดต้อทั้งปวงแล้วจึงแต่งยาสมาน ใส่ต่อไป
ยาสมานตาต้อ ขนานนี้เอา สมอเทศ ๑ ฝิ่น ๑ ม่าเหมี่ยว ๑ สมอฝ้ายเทศอ่อน ๑
ดีงูเหลือม ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคบดทำแท่งละลายน้ำนมคนน้ำดอกไม้ก็ได้
เป็นยาสมานตาแลแก้ปวดเคือง
ยาแก้ต้อลำไย ขนาน นี้เอา ฝาหอยโข่ง ๑ สังข์ ๑ เบี้ยผู้ ๑ ดินถนำ ๑ รวมยา ๔
สิ่งนี้เอาสิ่งละ ๑ บาท สุมด้วยไม้สะแก เอาลิ้นทะเล ๑ บาท เข้าสารดำ ๙ เมล็ด
พิมเสน ๖ กล่ำ แล้วจึงเอาใบมะเฟือง ๑ บาท ใบกระเพรา ๒ บาท ยา ๒ สิ่งนี้
ตำคั้นเอาน้ำเป็นกระสาย บดทำแท่งตากลมละลายด้วยน้ำนมคนก็ได้
น้ำดอกไม้ก็ได้เป็นกระสายใส่ตาเด็ก
ยาแก้ทรางโจรทรางแห้ง ขนาน นี้เอา ใบเทียน ๑ ใบทับทิม ๑ ใบสวาด ๑ ใบพิมเสน ๑ ใบกระเพราทั้ง
๒ พริกไทย ๑ หัวหอม ๑ กะชาย ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ เกล็ดปลาช่อนเผา ๑ หว้านกีบแรด ๑
หว้านร่อนทอง ๑ เปลือกไข่ฟัก ๑ น้ำประสานทอง ๑ ลิ้นทะเล ๑ รวมยา ๑๕ สิ่งนี้
เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งละลายน้ำสุรากินแก้ทรางโจร, ทรางแห้งซึ่งกระทำให้อยากเกลืออยากพริก
ให้ผอมเหลืองให้ไอให้หอบแลเป็นต่างๆ
ทีนี้จะกล่าวด้วยลักษณะทราง ๗ วัน เป็นคัมภีร์เตร็จพระอาจารย์เจ้าท่านยกเข้ามาสมทบแซกในที่นี้ หวังจะให้แพทย์ทั้งหลายรู้จักซึ่งกำเนิดไข้ แลเม็ดทรางนั้นต่อไปโดยสังเขปดังนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ล้มไข้ลง
ท่านว่าเป็นไข้เพื่อกำเดา กำเนิดทรางคือทรางเพลิงเจ้าเรือน
แรกขึ้นนั้นขึ้นในสดือแล้วก็กระจายออกไป ภายหลังกลับเข้าประชุม กันพร้อมในสดืออีก
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันจันทร์ล้มไข้ลง
ท่านว่าเป็นไข้เพื่ออาโปธาตุ กำเนิดทรางคือทรางน้ำเป็นเจ้าเรือน ถ้าขึ้นที่ลิ้นกินเข้ากินนมมิได้
มักให้ลงให้รากดังน้ำซาวเข้าดังไข่ร่วน
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันอังคารล้มไข้ลง
ท่านว่าเป็นไข้เพื่อโลหิตรักษายากนัก กำเนิดทรางคือทรางแดงเจ้าเรือน
แรกตั้งขึ้นนั้นขึ้นรอบสะดือให้ลงท้อง มือแลเท้าเย็นให้เชื่อมให้หลังแข็งไป
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันพุฒล้มไข้ลง ท่านว่ากินของผิดสำแลง
ไข้เพื่ออาโปธาตุ กำเนิดทรางคือทรางสะกอเป็นเจ้าเรือน
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันพฤหัศบดี ล้มไข้ลงท่านว่าเป็นเพื่อกำเดา
ให้ปวดศีร์ษะตัวร้อน ให้มือแลเท้าเย็น กำเนิดทรางคือทรางโคเป็นเจ้าเรือน
ถ้าขึ้นลิ้นให้ลิ้นกระด้างคางแข็งดูดนมมิได้ ท่านให้ระวังใน ๓ วัน พ้นนั้นมิเป็นไร
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันศุกร์ล้มไข้ลง
ท่านว่าเป็นไข้เพื่อลมให้ท้องขึ้นในเวลาเย็น
กำเนิดทรางคือทรางช้างเป็นเจ้าเรือนตั้งขึ้นแล้วมักกลายเป็นทรางแดงรักษายาก นัก
แต่ช้าตาย ขณะเมื่อค่อยคลายให้กลายเป็นตานโจร ให้แพทย์รักษาจงดี อย่าไว้ใจเลย
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันเสาร์ล้มไข้ลง
ท่านว่าไข้เพื่อลมให้รากให้ขัดหนักขัดเบา กำเนิดทรางคือ
ทรางโจรเป็นเจ้าเรือนตั้งขึ้นให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้เถิด
ทีนี้จะกล่าวด้วยทรางจรต่อไป ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้จักลักษณะทราง อันบังเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายโดยสังเขปดังนี้
อัน ว่าลักษณะทรางกระดูกนั้น เมื่อตั้งยอดขึ้นได้สองวันแล้ว
ก็หลบหายเข้าไปในท้อง จึงทำให้ลงท้องให้มือเย็นเท้าเย็น
แม่ทรางนั้นจึงกลับมาขึ้นต้นลิ้นยอดหนึ่งแข็งดังตาปลา ถ้าแพทย์รู้แท้แล้ว
ท่านให้แกะให้แทงออกเสียก่อน แล้วจึงเอายาบ้าย เถิดหายแล
อันว่าลักษณะทรางกระแหนะนั้น
ตั้งขึ้นมีสัณฐานยอดเล็กกลางยอดดำริมยอดแดง
ครั้นหลบลงไปเข้าท้องจึงทำให้ตกมูกเลือดทรางจำพวกนี้ร้ายนัก
อันว่าลักษณะทรางนางริ้นนั้น ตั้งยอดขึ้นขาวดังน้ำแก้ว
ครั้นหลบลงกลับเข้าท้องจึงทำให้ลงดังน้ำซาวเข้า
อันว่าลักษณะทรางประถมกัลป์นั้น บังเกิดเพื่อโลหิตให้ปากแดง
ครั้นเมื่อหลบลงไปเข้าท้องจึงทำให้ลงดังน้ำชานหมาก
อัน ว่าลักษณะทรางแต่บรรดาที่กล่าวมาแล้ว
ทั้งทรางเจ้าเรือนแลทรางจรในปฐมจินดาผูก ๔ นี้ ว่าแต่ลักษณะเม็ดยอดที่ตั้ง
อันว่าประเภทแลอาการนั้น มีแจ้งอยู่ในปฐมจินดาผูก ๓ โน้นแล้ว
ในที่นี้พระอาจารย์เจ้าท่านว่าไว้แต่ที่เม็ดยอด โดยสังเขปดังนี้
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษากุมารกุมารีสืบไปข้างน่านั้น
มิได้เรียนพระคัมภีร์ปฐมจินดา, แล คัมภีร์อภัยสันตา ละพระคัมภีร์อันนี้เสีย
บุคคลผู้นั้นก็เปรียบเหมือนตาบอด ไต่สพานมิได้ยึดราวก็จะพลันตกลง
ได้แต่ตำราที่ท่านเขียนไว้เอาไปเที่ยวรักษาด้วยจิตรโลภเจตนาจะใคร่ได้อามิ ศบูชา
แห่งท่าน ผิดชอบฉันใดมิได้รู้ดุจดังพระบาฬีที่ท่านกล่าวไว้ว่า
วางยาผิดครั้งหนึ่งดุจดังประหารคนไข้ด้วยหอก
วางยาผิดสองครั้งดุจดังประหารคนไข้ด้วยเพลิง วางยาผิดสามครั้งดุจดังประหารคนไข้ด้วยสายอสุนีบาต
สัตว์จำพวกนั้นก็จะมรณะเป็นอันเที่ยงอย่าพึงสงไสยเลย
ถ้าแพทย์ผู้ใดได้เรียนคัมภีร์ปฐมจินดา, คัมภีร์อภัยสันตา
ได้ชำนาญแล้วเมื่อใด อันว่ากุมารกุมารีทั้งปวงนั้นก็จะอยู่เย็นเป็นศุข
เพราะปราศจากไภยแห่งมรณะแล
พระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๕ ว่าด้วยลักษณะตานโจรเป็นกำหนด ทรางเจ้าเรือนแลทรางจร, กำลังไข้ทรางเจ้าเรือน, กิมิชาติ ประจำกาย, สิ้นทรางเจ้าเรือนแลทรางจร, ทรางโจรแล้วเพื่อพยาธิ โดยสังเขป
อัน ว่าแพทย์ผู้ใด อภิบาลรักษากุมารกุมารีไปเมื่อปลายมือนั้น
คือกุมารกุมารีผู้ใดเมื่อสิ้นกำหนดทรางเจ้าเรือน
แลทรางจรนั้นแล้วตานโจรจึงกระทำต่อไป
ถ้าจะใคร่รู้ว่าทรางเจ้าเรือนนั้นสิ้นกำหนดสักเพียงใด
แลทรางจรนั้นกำหนดสักเพียงใดจึงสิ้น ท่านให้แพทย์ทั้งหลายผู้มีปัญญาอันน้อย
พิจารณาสังเกตดูเอาตามพระอาจารย์เจ้ากล่าวไว้ ดังนี้เถิด
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ ทรางเพลิงเป็นเจ้าเรือน
ทรางกรายเป็นทางจร กำหนดทรางเพลิงเจ้าเรือนกระทำโทษนั้น ขวบ ๑ กับ ๑๑ เดือน
ทรางจรกำหนด ๗ เดือน รวมเข้าด้วยกันเป็น ๒ ขวบกับ ๖ เดือน มีเศษ ๖ วัน
สิ้นกำหนดทรางเพลิงแต่เพียงนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันจันทร์ ทรางน้ำเป็นเจ้าเรือนทรางฝ้ายเป็นทรางจร
กำหนดทรางน้ำเจ้าเรือนกระทำโทษนั้นขวบ ๑ กับ ๖ เดือน ทรางจรกำหนด ๖ เดือน
รวมเข้าด้วยกันเป็น ๒ ขวบ กับมีเศษ ๑๕ วัน สิ้นกำหนดทรางน้ำแต่เพียงนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันอังคาร ทรางแดงเป็นเจ้าเรือน
ทรางกระแหนะเป็นทรางจร กำหนดทรางแดงเจ้าเรือนกระทำโทษนั้น ๓ ขวบกับ ๖ เดือน
ทรางจรกำหนดขวบ ๑ กับ ๖ เดือน รวมเข้าด้วยกันเป็น ๕ ขวบกับมีเศษ ๘ วัน
สิ้นกำหนดทรางแดงแต่เพียงนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันพุฒ ทรางสะกอเป็นเจ้าเรือน
ทรางกระตังเป็นทรางจร กำหนดทรางสะกอเจ้าเรือนกระทำโทษนั้นขวบ ๑ กับ ๔ เดือน
ทรางจรกำหนดขวบ ๑ กับ ๓ เดือน รวมเข้าด้วยกันเป็น ๒ ขวบ ๗ เดือนกับมีเศษอีก ๑๗
วันสิ้นกำหนดทรางสะกอแต่เพียงนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันพฤหัศบดี ทรางโคเป็นเจ้าเรือน
ทรางเข้าเปลือกเป็นทรางจร กำหนดทรางโคทำโทษนั้น ๒ ขวบ กับ ๕ เดือน ทรางจรกำหนดขวบ
๑ กับ ๖ เดือน รวมเข้าด้วยกันเป็น ๓ ขวบกับ ๑๑ เดือน มีเศษวันอีก ๑๙ วัน
สิ้นกำหนดทรางโคแต่เพียงนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันศุกร์ ทรางช้างเป็นเจ้าเรือน
ทรางกระดูกเป็นทรางจร กำหนดทรางช้างกระทำโทษนั้น ๒ ขวบ กับ ๙ เดือน ทรางจรกำหนด ๗
เดือน รวมเข้าด้วยกันเป็น ๓ ขวบ กับ ๔ เดือน กับมีเศษวันอีก ๒๑ วัน
สิ้นกำหนดทรางช้างแต่เพียงนี้
ถ้า กุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันเสาร์
ทรางโจรเป็นเจ้าเรือนทรางนางริ้นเป็นทรางจร กำหนดทรางโจรกระทำโทษนั้น ๓ ขวบกับ ๘
เดือน ทรางจรกำหนดขวบ ๑ กับ ๗ เดือน รวมเข้าด้วยกันเป็น ๕ ขวบกับ ๓ เดือน มีเศษอีก
๑๐ วัน สิ้นกำหนดทรางโจรแต่เพียงนี้
ทั้งนี้เป็นกำหนดทรางเจ้าเรือนแลทรางจรทั้ง ๗
จำพวกอันกระทำโทษนั้นสิ้นกำหนดดุจกล่าวมาแต่เพียงนี้
ทีนี้จะว่าด้วยกำหนดวันไข้ ซึ่งบังเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายต่อไป ว่าจะหาย, จะหนัก, จะตาย, สักเพียงใด ดังพระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวโดยไนยกำหนดดังนี้
ทีนี้จะว่าด้วยกำหนดวันไข้ ซึ่งบังเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายต่อไป ว่าจะหาย, จะหนัก, จะตาย, สักเพียงใด ดังพระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวโดยไนยกำหนดดังนี้
ทรางเพลิงแต่แรกล้มไข้มา กำหนด ๑๑ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยตาย
ทรางน้ำแต่แรกล้มไข้มา กำหนด ๑๒ วันถอย ถ้าไม่ถอยไข้นั้นหนักอยู่
ทรางแดงเมื่อแรกล้มไข้มา กำหนด ๑๓ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอย ไข้นั้นตาย
ทรางสะกอเมื่อแรกล้มไข้มา กำหนด ๑๔ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยไข้นั้นมากไป
ทรางโคเมื่อแรกล้มไข้มา กำหนด ๑๕ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอย ตาย
ทรางช้างเมื่อแรกล้มไข้มา กำหนด ๑๖ วันถอย ถ้าไม่ถอยตาย
ทรางโจรเมื่อแรกล้มไข้มา กำหนด ๑๗ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอย ตายเป็นเที่ยง
นี้ แลท่านว่าไว้เป็นกำหนดกำลังไข้ ถ้าพ้นกำหนดแล้วไซ้ไข้นั้นไม่ถอย
ก็เป็นกำหนดแห่งกุมารผู้นั้น เข้าอยู่ในเงื้อมมือพระยามัจจุราชแล้ว
ในเมื่อไข้สิ้นกำหนดทรางเจ้าเรือนแลทรางจรนั้นแล้ว จึงบังเกิดโรคทั้ง ๗ จำพวก
คือสมมุติว่าตานโจรนั้นดุจเป็นไข้ขี้ฉ้อ
แลแพทย์ทั้งหลายมิได้รู้จักกำเนิดแลหลับจักษุรักษา
กุมารดุจหนึ่งประหารกุมารนั้นด้วยเพลิง ก็จะตายเป็นอันเที่ยงอย่าพึงสงไสยเลย
ว่าด้วยกิมิชาติแลตานโจร
ที นี้จะว่าด้วยกุมารกุมารี
อันมีอายุล่วงพ้นกำหนดทรางเจ้าเรือนแลทรางจรแล้ว คือกุมารนั้นอายุตั้งแต่ ๕ ขวบ ๖
ขวบ ขึ้นไปเป็นลักษณะแห่งตานโจร ด้วยบริโภคอาหารต่างๆ
ที่ไม่เคยบริโภคเหมือนเมื่อพรหม ลงมากินดินง้วน ดังนั้น ก็มีกายอันวิปริต ต่างๆ
ด้วยแต่ก่อนเคยเสวยซึ่งทิพยวิมาน ครั้นประดิษฐานลงมากินง้วนดิน
กายก็แปรไปตามเภทเป็นมนุษย์จึงมีประเวณีตามพืชนฺแผ่นดิน
อันว่ากุมารซึ่งมาเอาชาติปฏิสนธิในครรภ์แห่งสัตรีภาพ ต่างๆนั้น
ครั้นได้รับประทานอาหารแปลกอันที่ไม่เคยบริโภคก็ให้บังเกิดโรคต่างๆ
แล้วก็ให้บังเกิดซึ่งหมู่กิมิชาติหมู่หนอน ๘๐ จำพวก
อันจะเบียดเบียฬทุกตัวสัตว์มิได้เว้นเลย
เมื่อสัตว์ทั้งหลายบริโภคซึ่งอาหารหยาบดังนั้น จึงบังเกิดกิมิชาติหมู่หนอน ๘๐
จำพวก อาไศรยกินอยู่ ณ ภายในแห่งสัตว์ทั้งปวงต่างๆ ดุจกล่าวมานี้
อันว่ากิมิชาติอาไศรยอยู่ในกระเพาะอาหารเก่า, กระเพาะ อาหารใหม่นั้น ๗ จำพวก
ชื่อกะตะจำพวก ๑ ชื่อโอตะกะจำพวก ๑ ชื่อคันทุปาจำพวก ๑ ชื่อตาลหิระจำพวก ๑
ชื่อสุจิมุขะจำพวก ๑ ชื่อปวัตนันตุจำพวก ๑ ชื่อสุกะตะจำพวก ๑ เป็น ๗
จำพวกด้วยกันดังนี้
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในสมองกระดูกนั้น ๒ จำพวก ชื่อยาวะจำพวก ๑
ชื่อโสภาจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ที่ม้าม ๒ จำพวก ชื่อกะตะจำพวก ๑
ชื่อราตวัตถาจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในหทัย ๔ จำพวก ชื่อทะนันตะจำพวก ๑
ชื่อมหาทะนันตะจำพวก ๑ ชื่อโลหิตะจำพวก ๑ ชื่อมหาโลหิตะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในปิตตัง ในเสมหัง นั้น ๓ จำพวก
ชื่อนิละกะจำพวก ๑ ชื่ออุปวะจำพวก ๑ ชื่อลามุขะจำพวก ๑
อันว่ากิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในกระบอกตา ๓ จำพวก ชื่อมาณะจำพวก ๑
ชื่อตะกาจำพวก ๑ ชื่อณะวะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในบุพโพ ๓ จำพวก ชื่อมัญชุจำพวก ๑
ชื่อมุขะจำพวก ๑ ชื่อมิกขะละจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในตับ ๓ จำพวก ชื่อวระณะจำพวก ๑ ชื่อตะณะจำพวก
๑ ชื่อสวะระจำพวก ๑
กิมิชาติ อาไศรยกินอยู่ในพุง ๖ จำพวก ชื่ออวิชาจำพวก ๑
ชื่ออะธิวิชาจำพวก ๑ ชื่อวัตธาจำพวก ๑ ชื่อสิธาจำพวก ๑ ชื่อทสะหะจำพวก ๑
ชื่อมุนขะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในมันเหลว ๒ จำพวก ชื่อพิมันชาจำพวก ๑
ชื่อเลมขะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในทวารเบื้องต่ำนั้น ๓ จำพวก ชื่อกิททาจำพวก ๑
ชื่อภะยะจำพวก ๑ ชื่อปาลาตะจำพวก ๑
อันว่ากิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในกลางตัว ๔ จำพวก ชื่อโลหะมุขะจำพวก ๑
ชื่อมหาโลหะมุขะจำพวก ๑ ชื่อมุนะชาจำพวก ๑ ชื่อมหามุนะชาจำพวก ๑
กิมิชาติ อาไศรยกินอยู่ในปอดนั้นมี ๖ จำพวก ชื่อเสตะจำพวก ๑
ชื่อโลหิตะจำพวก ๑ ชื่อจะวะกาลจำพวก ๑ ชื่อสิวาจาจำพวก ๑ ชื่ออัคคะจำพวก ๑
ชื่อมหาอัคคะจำพวก ๑
อัน ว่ากิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในลำไส้น้อยไส้ใหญ่นั้น ๖ จำพวก
ชื่อวะระสิมหาจำพวก ๑ ชื่อวะระนะตาจำพวก ๑ ชื่อมหาวะระนะตาจำพวก ๑ ชื่อสิบปาจำพวก
๑ ชื่อมหาสิบปาจำพวก ๑ ชื่อสันตะอันตาจำพวก ๑ เป็น ๖ จำพวกด้วยกันดังนี้
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในมันข้นนั้น ๓ จำพวก ชื่อสุธาชะจำพวก ๑
ชื่อสิเนหะชาจำพวก ๑ ชื่อมหาสิเนหชาจำพวก ๑
กิมิชาติ อาไศรยกินอยู่ในเบื้องต่ำอโธคะทวาร
จนถึงที่สุดแห่งปลายเท้านั้น ๕ จำพวก ชื่อวิสรรหาจำพวก ๑ ชื่อสิวาระจำพวก ๑
ชื่อเตชันตะจำพวก ๑ ชื่อสิวะราจำพวก ๑ ชื่อมหาสิวะราจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยอยู่ในเกษา นั้น ๒ จำพวก ชื่อพะละวาจำพวก ๑
ชื่อมหาพะละวาจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ฆานะ บริโภคน้ำมูกนั้น ๓ จำพวก
ชื่อณะหาปัตระจำพวก ๑ ชื่อฉละมุคะจำพวก ๑ ชื่อสัตมุคะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในชิวหา นั้น ๓ จำพวก ชื่อกาละจำพวก ๑
ชื่อมุกขาจำพวก ๑ ชื่อมันนะเปละจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ใต้เล็บมือเล็บเท้านั้น ๓ จำพวก ชื่อเลหะจำพวก
๑ ชื่อราคะจำพวก ๑ ชื่ออะวัณณะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในเนื้อ แลตามแถวเส้นแถวเอ็นนั้น ๓ จำพวก
ชื่อกันนะจำพวก ๑ ชื่อรัชชะกะจำพวก ๑ ชื่อโลหิตะจำพวก ๑
กิมิชาติอาไศรยกินอยู่ในคอนั้น ๒ จำพวก ชื่อรัมมะหาจำพวก ๑
ชื่อมหารัมมะหาจำพวก ๑
อัน ว่ากิมิชาติ ๘๐ จำพวกนี้ ย่อมอาไศรยกินอยู่ในภายในกายแห่งมนุษย์
แลสัตว์ทั้งหลายทุกตัวสัตว์มิได้เว้น
ครั้นว่ากิมิชาติทั้งหลายเหล่านี้เจริญขึ้นเมื่อใดแล้ว ก็ย่อมกระทำเบียดเบียฬสัตว์
แลมนุษย์ให้บังเกิดโรคแปรปรวนเป็นประการต่างๆ ดุจดังกล่าวมาแต่หลัง
แลยังจะมีต่อไปข้างน่านั้น ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ ดุจดังพระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้
ในพระคัมภีร์ปฐมจินดานี้ จบลักษณะกิมิชาติ ๘๐ จำพวกยุติแต่เพียงนี้
ทีนี้จะกล่าวด้วยลักษณะตานโจรอัน บังเกิดขึ้น เป็นเพื่อพยาธิ ๑๑ จำพวกนั้นต่อไป พระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้เป็นสังเขป หวังจะสงเคราะห์แพทย์ซึ่งจะรักษาโรคทารกเมื่อปลายมือ นั้น ให้แพทย์พึงพิจารณาดูลักษณะ แลอาการแห่งกุมารกุมารีทั้งหลาย ให้แม่นยำตามลักษณะพยาธิทั้ง ๑๑ จำพวกนั้นเถิด
ไนยหนึ่งลักษณะตานโจรนั้น ก็ย่อมระคนปนไปด้วยธาตุทั้ง ๔ ด้วย
ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ดุจกล่าวมานี้
อัน ว่าลักษณะพยาธิ ๑๑ จำพวกนั้น ชื่อปุระธาตุบทจำพวก ๑
ชื่อปัตชิวหาจำพวก ๑ ชื่อสันตาจำพวก ๑ ชื่ออุทราจำพวก ๑ ชื่อพลพะหะจำพวก ๑
ชื่อคงสทานไฟจำพวก ๑ ชื่อพรมกิศจำพวก ๑ ชื่ออุมุธาตุจำพวก ๑ ชื่อมุษกายธาตุจำพวก ๑
ชื่อรัตนปัลลาธาตุจำพวก ๑ พยาธิ ๑๑ จำพวกนี้คือตานโจรสิ้นทั้งนั้น
ลักษณะ พยาธิอันชื่อว่าปุระธาตุบทนั้น
บังเกิดเพื่อทรางเพลิงข้างตอนต้นนั้น
กระทำให้ลงเป็นโลหิตออกมาก่อนแล้วจึงให้ตัวเหลืองหาแรงมิได้
ให้อยากของสดของคาวเป็นกำลัง อันหนึ่งชื่อปัตฉันนะธาตุกระทำบั้นปลาย
จึงให้ขึ้นในช่องนาสิก ให้ตึงดังเป็นหวัดเหม็นเน่า แล้วก็ลงทางต้นลิ้นตลอดปลายเท้า
ให้น้ำลายตก มิรู้ขาด ให้คอแห้งกินอาหารมิได้ ครั้นอาหารมิได้ตั้งเป็นที่ตั้ง
แล้วโรคนั้นก็วิปริตต่างๆ กุมารผู้นั้นยายากนัก
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะแก้พยาธิคือตานโจร ๒ ประการนี้
ท่านให้แก้ลิ้นแก้คอให้ตก เสียก่อน จึงให้กินยาหน่วง แก้โลหิตต่อไปเถิด
ยาแก้ลิ้นตานโจร ให้คอแห้งกินเข้ากินนมมิได้ ขนานนี้ท่านให้เอารากสนเทศ ๑ สีเสียดเทศ
๑ ชะเอม ๑ น้ำตาลทราย ๑ รวมยา ๔ สิ่งเอาเสมอภาคบดทาลิ้น
ยาแก้น้ำลายไหล ขนานนี้ท่านให้เอายาอันชื่อว่าตรีผลาหอมนั้น ๘ ส่วน รากกระพังโหม ๑
ส่วน รากผักหวานบ้าน ๑ ส่วน รากกระเพรา ๑ ส่วน รากมะกล่ำเครือ ๑ ส่วน รวมยา ๕
สิ่งนี้ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำผึ้งทาคอ
ขนานหนึ่งท่านให้เอา หญ้าใต้ใบ ๑ จันทนฺแดง ๑ กรามแรด ๑ กรามช้าง ๑
รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคบดทำแท่งไว้ละลายสุราทาปากทาลิ้นก็ได้
ยาชำระตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ ตรีกระฏุก
๑ เทียนทั้ง ๕ ยาทั้งนี้เอาสิ่งละ ๑ ส่วน ผลสลอดประสระแล้ว ๒ ส่วน
เมื่อจะประสระผลสลอดนั้นให้เอาแช่น้ำปลาร้าปากไหไว้คืน ๑
แล้วจึงเอายัดเข้าไว้ในผลมะกรูด สุมไฟแกลบให้ระอุดีแล้ว
จึงเอาบดเข้ากับยาทั้งผลมะกรูดด้วยกัน ทำเป็นเม็ดไว้เท่าเมล็ดพริกไทยให้กิน ๕ เม็ด
๖ เม็ด ๗ เม็ด ถ้ากุมารอายุได้ ๓ ขวบ ๖ ขวบขึ้นไปให้กิน ๑๑ เม็ด ๑๕ เม็ด
ตามธาตุตามกำลังกุมารนั้นเถิด
ขนาน หนึ่งท่านให้เอา กระเทียม ๑ รากเจตมูลเพลิง ๑ ผิวมะกรูด ๑
การะบูร ๑ พริกไทย ๑ ดีปลี ๑ รากจิงจ้อ ๑ ใบสลอด ๑ ใบมะตูม ๑ ใบสวาด ๑ เอาสิ่งละ ๑
ส่วน แต่ใบไม้ทั้ง ๒ สิ่งนั้นนึ่งเสียก่อนแล้วจึงชั่ง รงทอง ๑ ยาดำ ๑ รากตองแตก ๑
เอาสิ่งละ ๒ ส่วน รวมยา ๑๒ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ
เอาน้ำส้มซ่าเป็นกระสายบดทำเป็นเม็ดเท่าเมล็ดฝ้าย ละลายสุรากินได้ตั้งแต่ ๑ เม็ด
จนถึง ๙ เม็ด ตามกำลังธาตุแห่งกุมารนั้นหนักเบา เป็นยาชำระโทษร้ายให้ตกสิ้น
แล้วจึงแต่งยาหน่วงให้กินต่อไป ท่านให้เอาหว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ จันทนฺแดง
๑ เบ็ญกานี ๑ เนรภูสี ๑ ผลประคำดีควาย ๑ สีเสียดเทศ ๑ รวมยา ๗
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ เอาน้ำส้มซ่าเป็นกระสายบดทำแท่ง
ละลายสุรากินแก้พิษทรางโจร แลลงเพื่อทรางโจร
ถ้า มิฟังท่านให้เอา หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ จันทนฺทั้ง ๒
เบ็ญกานี ๑ เนรภูสี ๑ รากคันทรง ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ หอม ๑ ขมิ้นนอ้อย ๑
ผลประคำดีควาย ๑ รวมยา ๑๒ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินแซกดีงูเหลือมกิน ถ้ามิฟังยาเหล่านี้แล้ว
จึงให้เอายาตำหรับหลังแก้ต่อไป
ยาชื่อนาษพิษ ขนานนี้ แก้พิษทรางโจร ทรางเพลิง ท่านให้เอา
หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ จันทนฺทั้ง ๒ ดีงูทั้ง ๒ (คือดีงูต้นแลเครือ)
กรุงเขมา ๑ รากไคร้เครือ ๑ เนระภูสี ๑ ผลราชดัด ๑ รากระย่อม ๑ ผลประคำดีควาย ๑
ใบประคำไก่ ๑ ฝิ่นทั้ง ๒ สังกระณี ๑ จุกกะโรหินี ๑ ดีงูเหลือม ๑ ยาฝิ่น ๑ รวมยา ๑๙
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาดีงูเหลือมแช่น้ำเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายสุรากินดับพิษภายในทั้งปวง
แม้นพิษจะกระทำสักเท่าใดๆก็ดี ให้คัดปากเอายานี้กรอกเข้าไปได้เคยหายมามากแล้ว
ยาแก้เสมหะตีขึ้น ขนานนี้ท่านให้เอา ตรีกะฏุก ๑ เกลือสินเธาว์ ๑ รากส้มกุ้ง ๑
ฝักส้มป่อย ๑ รากมูลกาแดง ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ แล้วจึงเอาขันทศกร, น้ำตาลกรวด, น้ำตาลทราย, น้ำมะนาว, น้ำส้มมะขามเปียก,
กวนเข้าด้วยกันกับยาทั้งนั้น ทาลิ้นบ่อยๆจนกลืนเข้าไปได้
ยาแก้กินเข้า, กินนมมิได้แลกำลังน้อย ท่านให้เอาศีร์ษะบัวขม ๑ เข้าสาร ๑ ยาทั้ง ๒
สิ่งนี้บดด้วยน้ำนมโคหรือน้ำนมคนก็ได้ ให้ทารกกินมีกำลังทั้งเจริญอาหารด้วยดีนัก
ขนานหนึ่ง ท่านให้เอา กระจับบก ๑ เกสรบัวหลวง ๑ รากละหุ่งแดง ๑ รวมยา
๓ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดละลายน้ำเข้า ที่แรกเดือด ให้กิน
ยาชะโลมแก้ร้อนทรางเพลิง ขนานนี้ท่านให้เอา รากโมง ๑ รากลำดวน ๑ หญ้าแพรก ๑ ดินประสิวขาว ๑
บดละลายน้ำซาวเข้าชะโลมแก้ตัวร้อนทรางเพลิง
ยาแก้ระหายน้ำแก้ร้อนทรางโจร, ทรางเพลิง, ท่าน ให้เอารากเข้าสาร ๑ รากบัวหลวง ๑ รากถั่วภู ๑
รากทองหลางหนาม ๑ รากสลอดน้ำ ๑ จันทนฺทั้ง ๒ รากสลิด ๑ รากเท้ายายม่อม ๑ รากน้ำนอง
๑ รากคากรอง ๑ ปู่เจ้าลอยท่า ๑ รากพิศนาด ๑ รากสีหวด ๑ รากหญ้านาง ๑ สันพร้านางแอ
๑ รวมยา ๑๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำซาวเข้าทั้งกินทั้งชะโลมแก้ระหายน้ำ, แก้ร้อนทรางโจร, ทรางเพลิง, หาย
ยาแดงแก้ตานโจรกระทำท้อง ท่านให้เอา จันทนฺทั้ง ๒ เปลือกมะเกลือเลือด ๑ เปลือกขี้อ้าย ๑
เปลือกหางกราย ๑ เนรภูสี ๑ สังกระณี ๑ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ กานพลู ๑ ดีปลี ๑
ขิงแห้ง ๑ เปลือกมะทราง ๑ รวมยา ๑๓ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาน้ำเปลือกมะรุมเป็นกระสาย บดทำแท่งละลายน้ำเปลือกมะม่วงพรวน, เปลือกมะเดื่อ, เปลือกมะกอก, ก็ได้ กินแก้ตกมูกตกเลือดตานโจร
อันบังเกิดพยาธิอันชื่อว่าบุรธาตุบทกล่าวมาดังนี้ตกสิ้น
กุมารนั้นจึงจะรอดจากความมรณไภย
อัน ว่าลักษณะพยาธิอันชื่อว่า สันตาธาตุนั้น
บังเกิดเพื่อทรางน้ำกระทำให้ตัวเย็น แลท้องขึ้นมิรู้ขาด เมื่อคุกเข่ากระทำให้ขนลุกให้ตกโลหิต
ให้ปิดอุจจาระ, ปัสสาวะ
แลปัสสาวะนั้นขาวดุจดังน้ำเข้า สมมุติว่านิ่วน้ำนม
พยาธิ อันหนึ่งชื่อว่า อุทราธาตุ เกิดขึ้นในสดือภายในอุทร
มักให้เชื่อมแล้วให้ผอมให้หอบ ถ้าแพทย์จะแก้ เป็นแต่พอประทัง
ถ้าแลให้เป็นไปถึงสามเดือนสี่เดือน จะทำให้ไส้พองท้องใหญ่
บางทีท่านว่าตับบวมใหญ่ขึ้นคับโครงแล้วก็ตาย
ยาทาท้องแก้ท้องขึ้น ขนานนี้ท่านให้เอา ใบหนาด ๑ ใบคนทีสอ ๑ ใบประคำไก่ ๑ ใบผักเค็ด ๑
ใบผักเสี้ยนผี ๑ เมล็ดในมะนาว ๑ เมล็ดในสะบ้ามอญ ๑ มดยอบ ๑ กำยานผี ๑ ตรีกะฏุก ๑
สานส้ม ๑ ดินประสิวขาว ๑ น้ำประสานทอง ๑ กระชาย ๑ กระทือ ๑ ไพล ๑ หอม ๑ กระเทียม ๑
ขมิ้นอ้อย ๑ กระดูกงูเหลือม ๑ กระดูกงูเห่า ๑ กระดูกห่าน ๑ กระดูกเลียงผา ๑
มหาหิงคุ์ ๑ ยาดำ ๑ รงทอง ๑ รวมยา ๒๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายน้ำมะกรูดทาท้อง แก้ท้องรุ้งพุงมาร แก้มารกระไษยลม แก้ไส้พองท้องใหญ่ท้องขึ้นท้องเขียว, อุจจาระปัสสาวะมิออก, แก้ชักเท้ามือกำ, ลมชักหลังแข็งแลสะพั้นอักขมุขี,
แก้ลมบาทยักนฺ, ลมกุมภัณฑยักษ์, ลมทักขิณคุณ, ลมประวาตคุณ, หายสิ้น
ยาชื่อประสระกระเพรา (น้อย) ขนานนี้ท่านให้เอา ยาดำ ๑
หิงคุ์ยางโพ ๑ กระเทียม ๑ พริกไทย ๑ ดีปลี ๑ หว้านน้ำ ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
เอาใบกระเพราเท่ายา ทั้งหลายทำเป็นจุณ บดทำแท่งละลายน้ำมะกรูดก็ได้, น้ำสุราก็ได้
กินแก้ท้องขึ้นเป็นยาประจำท้องกุมารทั้งปวง
ยาชื่อมงคลระงับ ท่านให้เอา เทียนทั้ง ๕ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ
๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สังกระณี ๑ เนรภูสี ๑ ไคร้เครือ ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง
๑ เมล็ดพรรณ์ผักกาด ๑ ใบระงับ ๑ ใบกะเม็ง ๑ ใบขี้กาแดง ๑ ใบน้ำเต้า ๑ ตรีกะฏุก ๑
ข่า ๑ กระชาย ๑ กระทือ ๑ ไพล ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ หอมแดง ๑ กระเทียม ๑ รวมยา ๒๙
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งน้ำมะนาวเป็นกระสาย ละลายสุรากินแก้ตานโจรซึ่งกระทำให้ท้องขึ้น, อุจจาระเน่าเหม็น
แลแก้พิษตานทรางทั้งปวง
ยาชื่อมหากระเพรา ท่านให้เอา เทียนทั้ง ๕ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน
ตรีกะฏุกเอาสิ่งละ ๔ ส่วน มหาหิงคุ์ ๑ กระเทียม ๑ เอาสิ่งละ ๘ ส่วน
ใบกระเพราเอาเท่ายา ทั้งหลาย รวมยา ๑๑ สิ่งนี้ ทำเป็นจุณ เอาสุราเป็นกระสายบดทำแท่งละลายสุรากิน
แก้ตกมูก, ตกเลือด,
ปวดมวน,
ยาชื่อหิงคุ (เป็นยาผาย) ขนานนี้, ท่าน
ให้เอา พริกไทย ๑ ส่วน ใบกระเพรา ๒ ส่วน ดีปลี ๓ ส่วน มหาหิงคุ์ ๑ การบูร ๑
ผิวมะกรูด ๑ หว้านน้ำ ๑ ไพล ๑ เอาสิ่งละ ๔ ส่วน รวมยา ๘ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ
เอาสุราเป็นกระสายบดทำแท่ง ละลายน้ำมะกรูดกินบ้างทาท้องบ้าง
แก้เจ็บท้องแลท้องขึ้นตัวเย็น
ยาภายในแก้ตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา ผิวมะกรูด ๑ ผิวส้มซ่า ๑ รากมะรุมบ้าน ๑
รากมะแว้งต้น ๑ ผลสลอดประสระแล้ว ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
ทำเป็นจุณตำคั้นเอาน้ำใบหว้านหางช้างเป็นกระสาย บดทำเป็นเม็ดเท่าเมล็ดพริกไทยกินมื้อละ
๑ เม็ด ดูตามธาตุหนักธาตุเบา
ถ่ายจนสิ้นโทษร้ายตัวพยาธิอันชื่อว่าอุทราธาตุนั้นออกสิ้น
อนึ่ง ถ้าจะแก้ไส้พองท้องใหญ่แลท้องรุ้งพุงมาร
ให้บวมในที่แห่งใดๆก็ดี ให้บวมทั้งตัว ก็ดี ที่เป็นเพื่อตานโจร นั้น
ถ้าจะแก้เอายาขนานนี้ ท่านให้เอา ใบมะขาม ๑ ใบส้มป่อย ๑ ใบส้มเซี่ยว ๑ ใบมะนาว ๑
รากสลอดกินลง ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ต้ม ๓ เอา ๑ รินเอาแต่น้ำ
แล้วจึงเอาน้ำผึ้ง ๑ ถ้วย สุรา ๑ ถ้วย รงทอง ๑ ยาดำ ๑ ดินประสิวขาว ๑ เอาสิ่งละ ๑
ส่วน ดีเกลือ ๒ ส่วน ผสมด้วยกันพอปั้นได้ ถ้าจะให้กุมารอายุ ๕ ขวบ ๖ ขวบ กินเท่าผลบัวเกราะ, ลงสดวกดีนัก แลหายโรคทั้งปวงด้วย
ยาแก้ตานโจรอันชื่อว่าสะเตาธาตุ (หรือสันตาธาตุ) อันกระทำให้เชื่อม,
ให้ มึน ขนานนี้ท่านให้เอา จันทนฺแดง ๑ จันทนฺขาว ๑ กฤษณา ๑
กระลำภัก ๑ ชะลูด ๑ ขอนดอก ๑ ดอกบุนนาค ๑ เกสรบัวหลวง ๑ ดอกสัตบุษย์ ๑ ชาดจอแส ๑
ชะมด ๑ พิมเสน ๑ รวมยา ๑๒ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ เอาน้ำค้างเป็นกระสายบด
แล้วเอายาที่บดนั้นทาใบตาลตากให้แห้ง แล้วจึงบดด้วยน้ำดอกไม้อีก
ทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้กิน แก้สลบ, แก้กระสับกระส่าย,
ถ้าจะแก้อ่อนเพลียละลายน้ำรากถั่วภูต้ม แก้ลงละลายน้ำผลสมอไทยต้ม
แก้ตาแข็งละลายน้ำมะนาวแซกสมองปลาช่อนทาหลังตา
ยาชื่อทิพสว่างอารมณ์ ท่านให้เอา เมล็ดถั่วภู ๑ ผลบัวเกราะ ๑
รากถั่วภู ๑ รากบัวหลวง ๑ หัวบัวขม ๑ หัวบัวเผื่อน ๑ หัวบัวผัน ๑ แห้วสด ๑
กระจับสด ๑ รากหญ้านาง ๑ กฤษณา ๑ กระลำภัก ๑ ชะลูด ๑ ขอนดอก ๑ จันทนฺชะมด ๑
ชะเอมเทศ ๑ อบเชยทั้ง ๒ โกฐหัวบัว ๑ โกฐเชียง ๑ เปราะหอม ๑ เกสรบัวหลวง ๑
เกสรบัวเผื่อน ๑ เกสรบัวขม ๑ เกสรสัตบุษย์ ๑ เกสรสัตบงกช ๑ เกสรจงกลนี ๑
เกสรสาระภี ๑ ดอกพิกุล ๑ ดอกบุนนาค ๑ ดอกมะลิซ้อน ๑ ดอกมะลิลา ๑ กรุงเขมา ๑ ชะมด ๑
พิมเสน ๑ หญ้าฝรั่น ๑ อำพันทอง ๑ รวมยา ๓๗ สิ่งนี้
เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งละลายน้ำดอกไม้กิน แก้เชื่อมมึนแก้อิดโรยกำลัง
แก้ได้สาระพัดทรางทั้งปวงทุกประการ แก้ทรางจับหัวใจแลในอก
ให้นอนแน่นิ่งลืมตามิขึ้นก็ดี กินยานี้หาย
ยาชื่อมหาไชยมงคลแก้หอบ (บางฉบับเรียก “มหาใจภัก”)
ท่าน ให้เอา กฤษณา ๑ จันทนฺชะมด ๑ เปลือกสันพร้านางแอ ๑
หญ้าพันงูแดง ๑ กำมถันแดง ๑ มูลแมลงสาบ ๑ ผลผักชี ๑ นอแรด ๑ งาช้าง ๑ เขากวาง ๑
รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดปั้นแท่งละลายน้ำมะนาวกินแก้หอบทราง
ถ้าจะแก้ไข้เหนือละลายน้ำใบทับทิมต้ม
ยาชื่อสุขุมแท่งหอม แก้หอบขนานนี้ท่านให้เอา กระดูกงูเหลือม ๑
กระดูกงูทับทาง ๑ กระดูกงูเห่า ๑ หางปลาช่อน ๑ กฤษณา ๑ กระลำภัก ๑ สนเทศ ๑ อบเชย ๑
ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ จันทนฺทั้ง ๒ ชะลูด ๑ ขอนดอก ๑ ชะเอมเทศ ๑ รากหญ้านาง ๑
โกฐสอ ๑ โกฐพุงปลา ๑ เทียนดำ ๑ เทียนขาว ๑ เกสรบัวหลวง ๑ ดอกบุนนาค ๑ ดอกมะกรูด ๑
ดอกมะนาว ๑ ดอกชะลูด ๑ รวมยา ๒๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
เอาโกฐหัวบัวเท่ายาทั้งหลายทำเป็นจุณ เอาน้ำดอกไม้ เป็นกระสาย
บดทำแท่งละลายน้ำดอกไม้แซกพิมเสนชะมดกิน
ยา ต้มแก้ตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา ใบทับทิม ๑ ใบเทียน ๑ บระเพ็ด ๑
ขมิ้นอ้อย ๑ ใบคนทีสอ ๑ รากอ้ายเหนียว ๑ เปลือกไข่เน่า ๑ รวมยา ๗
สิ่งนี้เอาเสมอภาค เอามะกรูด ๑ ผลฝักส้มป่อย ๗ ฝัก ต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ตานโจร
เพื่อทรางน้ำ
ยา ต้มแก้ตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา รากกระจับ ๑ รากสะแก ๑ รากมะเกลือ
๑ รากเล็บมือนาง ๑ เปลือกฝิ่นต้น ๑ ใบชุมเห็ดเทศ ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ต้ม
๓ เอา ๑ กินแก้ปวดมวน, แก้กระหายน้ำ,
ยา ต้มแก้ตกโลหิตเพื่อตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอารากซองแมว ๑ รากต่อไส้
๑ ขมิ้นอ้อย ๑ หัว รวมยา ๓ สิ่งนี้ท่านให้พลี เอาทุกสิ่ง ต้ม ๓ เอา ๑
กินแก้ไส้พองท้องใหญ่เพื่อตานโจร, อันชื่อว่าอุทรธาตุนั้นหาย,
อัน ว่าลักษณะพยาธิชื่อว่าพะละพะหะนั้น เกิดเพื่อทรางแดงคือกุมารเกิดวันอังคาร
เมื่อสิ้นกำหนดทรางแดงเจ้าเรือน แล้วจึงตั้งขึ้นที่ในลำไส้ตอนข้างใต้สะดือ
ข้างซ้ายนั้นโตเท่าผลมะขามป้อม จึงกระทำให้เจ็บท้องขบเสียด
เพราะว่าตั้งเป็นเสมอขึ้นด้วยกำเนิดแห่งทรางแดงนั้นกินขั้วตับ
อันมีแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๓ บริเฉท ๓
ซึ่งลงไว้ในแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์เล่มนี้น่า ๒๑๑ แล้ว ในที่นี้ว่าแต่เพื่อตานโจร
ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ในเมื่อตั้งขึ้นได้แล้วก็กระทำให้ตัวร้อน แลให้จับเป็นเวลา
สมมุติว่าเป็นป้างแลม้ามย้อยนั้นหามิได้ คือโรคตานโจรนั้นหากจะเป็นเอง
มีตัวดังหนึ่งเอือนปลา จึงตั้งเป็นดานเข้าแล้วก็กำเริบขึ้น
มีเมือกหรือเสมหะหุ้มห่ออยู่, เมื่อแก่เข้าได้ ๓ เดือนจึงกระทำให้ลงดังน้ำล้างเนื้อ
แลให้ตกมูกเลือดปวดมวนเป็นกำลัง แล้วให้เบ่งจนดากออกแลผอมเหลือง อยากเผ็ด, เค็ม, แล สดคาว แล้วให้พรึงขึ้นตามตัว
สมมุติว่าประดงนั้นหามิได้เลย คือโจรทรางแดงนั้นเอง
แลแม่ทรางที่อยู่ต้นลิ้นนั้นก็ตั้งเป็นเม็ดกำเริบขึ้น กระทำให้ตัดอาหาร
บางทีให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง อันแม่ทรางแดงที่อยู่ในหูเบื้องซ้ายนั้น
ก็กระทำให้เจ็บหูแล้วจึงเป็นน้ำหนวก แม่ทรางอิกจำพวกหนึ่งขึ้นตาทั้งสองข้างซ้ายขวา
ให้กำเริบขึ้นเป็นดังเกล็ดกระดี่ก่อน ถ้าวางยามิฟัง ครั้นแก่เข้าก็เป็นต้อก้นหอย
ครั้นอยู่ได้ประมาณ ๗ วันก็ให้ตาแตก ถ้าเป็นทั้งสองข้างก็แตกทั้งสองข้าง
แล้วจึงแม่ทรางจำพวกหนึ่งขึ้นอยู่ที่น่าแข้งทั้งสองข้าง
เป็นดังหนึ่งหนังกระเบนอันคมมีรากดุจสิวเสี้ยน เมื่อแพทย์จะรักษาถ้าแก้ ตากับน่าแข้งหายไปได้แล้วเมื่อใด
กุมารนั้นจึงจะรอดชีวิตร ครั้นเมื่อคลายไปได้ ๗, ๘, ๙, เดือน จึงเกิดพยาธิอันหนึ่งชื่อว่าพรมกิจ
เกิดแต่ลำไส้มีสันถาน ดังตัวไรปากดำ มักให้กุมารนั้นกินอาหารมิรู้อิ่ม
อุจจาระมากแลขาว, เหม็น, ให้
ตาฟางมักอยากกุ้งปลา แลของสดคาวต่างๆ ที่เป็นดังนี้ก็เกิดเพราะทรางแดง
ซึ่งแพทย์จะรักษายากนัก เป็นไปต่างๆ ดุจกล่าวมานี้
ถ้าแลแพทย์แก้ถูกกับโรคนั้นจึงจะหลุด ไปได้ ถ้ามิหลุดไปตกอยู่ที่ใด ที่หนึ่งก็ดี
เมื่ออายุกุมารนั้นได้กึ่งตัวกระทำทีหนึ่ง เมื่ออายุค่อนตัวกระทำทีหนึ่ง
คือริดสีดวงแห้งนั้นกระทำโทษต่อไป
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะแก้ทรางหมู่นี้อย่าวางยาผายเลยเป็นอันขาดทีเดียว
แล้วห้ามมิให้ป้อนเข้าให้อิ่มเต็มที่นัก โรคนั้นจะแปรปรวนไปทำยาก เมื่อปลายมือ
ถ้าจะแก้ให้แต่งยาชำระลำไส้เสียก่อน แต่ห้ามไม่ให้ใช้ยาเข้าสลอด
ให้แพทย์รักษาดุจไข้สันนิบาต ด้วยเหตุว่าทรางจำพวกนี้ เกิดเพื่อโลหิตกำเดาเป็นต้น
มาแต่ครรภรักษาแรกกุมารเอาปฏิสนธิ คือมารดาให้เจ็บอย่างไรก็ดี กำเดาสิ้นทั้งนั้น
ดังมีแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๑ ว่าด้วยครรภรักษานั้นแล้ว
ยา ต้มชำระลำไส้ตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา ตรีผลา สิ่งละ ๓ ผล ใบมะขาม
๑ ใบส้มป่อย ๑ รากขี้กาทั้ง ๒ หอม ๑ รากตองแตก ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
เอาฝักราชพฤกษ์เท่ายาทั้งหลาย ต้ม ๓ เอา ๑ แซกดีเกลือตามธาตุหนักธาตุเบา
กินเป็นยาล้างลำไส้เสียก่อน แล้วจึงต้มยาแก้จับ ให้กินต่อไป
ยา ต้มแก้จับตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา แก่นขี้เหล็ก ๑ แก่นสะเดา ๑
แก่นสน ๑ จันทนฺทั้ง ๒ รากหญ้านาง ๑ ผลมะขามป้อม ๑ ผลกระดอม ๑ บระเพ็ด ๑ แห้วหมู ๑
รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเสมอภาค เอาน้ำฝักราชพฤกษ์เป็นกระสาย ต้ม ๓ เอา ๑ กินตามกำลัง
แก้ตานโจรเป็นเพื่อกำเดาเสมหะกระทำให้จับ
ยาชื่อจันทรรัศมี ขนานนี้ท่านให้เอา กุ่มทั้ง ๒ ใบมะยมตัวผู้
๑ ใบผักขวง ๑ ใบพุดทรา ๑ ใบผักบุ้งขัน ๑ ใบขี้กาแดง ๑ ใบประคำไก่ ๑ ใบมะกรูด ๑
ใบมะนาว ๑ ใบมะงั่ว ๑ ใบส้มซ่า ๑ ข่า ๑ กระชาย ๑ กระทือ ๑ ไพล ๑ หอม ๑ กระเทียม ๑
ตรีกะฏุก ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ เมล็ดพรรณ์ผักกาด ๑ จันทนฺทั้ง ๒ หว้านกีบแรด ๑
หว้านร่อนทอง ๑ รวมยา ๒๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคเอาพริกไทยเท่ายาทั้งหลายทำเป็นจุณบดทำแท่ง
ให้กินตามกำลังกุมาร แซกดีงูเหลือม แก้ตานเสมหะ, แก้จับเป็นเวลา, แก้
ตัวพยาธิอันเกิดขึ้นในอุทร เป็นยาล้อมตับดับพิษทราง
ถ้าเจ็บฟกบวมแห่งใดให้ละลายน้ำสุราทา ถ้าจะแก้จับสท้านแลแก้คลั่งละลายน้ำดอกไม้กิน
ถ้าจะแก้ลมบ้าหมูละลายสุรากิน แก้หอบละลายน้ำส้มส้าก็ได้ น้ำดอกไม้ก็ได้
น้ำขันทศกรก็ได้ แก้ตานทรางตกมูกเลือดละลายสุรากิน แก้ป่วงละลายน้ำขิงกิน
แก้ลมละลายน้ำข่ากิน แก้สันนิบาตละลายน้ำส้มส้ากิน
แก้หืดแก้ไอละลายน้ำฝักส้มป่อยกิน แก้เจ็บหูละลายน้ำทะลายหมากดิบ หยอดบ้างทาบ้าง
แก้นอนไม่หลับละลายสุรากิน
ยา รุพยาธิในท้อง ขนานนี้ท่านให้เอา ขมิ้นอ้อย ๑ ผลในสะแก ๑
ผลมะกล่ำตาช้าง ๑ ผลมะเกลือ ๑ ผลผลผลาญสัตรู ๑ น้ำประสานทอง ๑ ลิ้นทะเล ๑ สมอทั้ง
๓ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน ใบแมงลัก ๑ ใบกระเพรา ๑ ใบสลอด ๑ รากสลอดกินลง ๑ การะบูร ๑
เอาสิ่งละ ๒ ส่วน เอาโกฐน้ำเต้า ๘ ส่วน รวมยา ๑๖
สิ่งนี้ทำเป็นจุณเอาสุราเป็นกระสายบดทำเม็ดเท่าเมล็ดพริกไทย
ถ้ากุมารอ่อนนักกินมื้อละ ๑ เม็ด ถ้ากุมารอายุได้ ๔ เดือน ๕ เดือนกิน ๒ เม็ด อายุ
๓ ขวบกิน ๓ เม็ด ละลายด้วยน้ำสุราแก้พยาธิดังกล่าวมาในทรางแดงนั้นตกสิ้น
ถ้าจะรุไส้เดือน ก็ได้ตกดุจกัน
ยาแก้หละขึ้นที่คอ, ที่ลิ้น, ขนาน นี้ท่านให้เอา น้ำประสานทอง ๑
หางปลาช่อนเผา ๑ ฝาหอยโข่งเผา ๑ งาช้าง ๑ มูลลูกอ่อน ๑ ใบกระเพรา ๑ เขม่าไฟ ๑
ก้นหม้อแกง ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายน้ำมะนาวทาลิ้น
ยา แก้ทรางยอดเอกขึ้นต้นลิ้น ขนานนี้ท่านให้เอา จุณสีสตุ ๑ ส่วน
น้ำประสานทองสตุ ๒ ส่วน เกลือขั้ว ๓ ส่วน ดีปลีเผา ๕ ส่วน รวมยา ๔
สิ่งนี้ทำเป็นจุณบดทำแท่ง ละลายน้ำมะนาวแซกดีจรเข้กวาดทรางแดงปฐมกัลป์
อันกลายเป็นพยุหะนั้นหาย
ยา แก้ต้อเกล็ดหอย ขนานนี้ท่านให้เอา เบ็ญจผักบุ้งไทย ๑ หัวกระชาย ๑
ดอกตำลึง ๑ ดอกแตงกวา ๑ ดอกมะขาม ๑ หัวหญ้าชันกาด ๑ เกล็ดปลาหมอขั้ว ๑ รวมยา ๑๑
สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดรำหัดพิมเสนทำแท่ง ฝนด้วยน้ำแตงกวาใส่ตาต้อเกล็ดหอย
แลต้อทั้งปวงแก้ปวด, แก้เคือง,
ทั้งเจริญสีตาด้วย
ยา แก้ต้อสายโลหิต ขนานนี้ท่านให้เอา บอระเพ็ด ๑ ขมิ้นอ้อย ๑
รากบานมิรู้โรยขาว ๑ รากหญ้างวงช้าง ๑ คุลีการ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
แช่น้ำดอกไม้แซกดีจรเข้ หยอดตาแก้ต้อสายโลหิตแดงดาษไปทั้งนั้นก็ดี
ดังสีควันเทียนก็ดีหายสิ้น
ยา นัดถุ์ชื่อสาวกัลยาณี ขนานนี้ท่านให้เอา ชะมด ๑ พิมเสน ๑
โกฐหัวบัว ๑ กฤษณา ๑ กะลำภัก ๑ ลิ้นทะเล ๑ แก้วแกลบ ๑ สังข์ ๑ รากส้มกุ้ง ๑
ตุกต่ำน้ำทอง ๑ รวมยา ๑๐ นี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณนัตถุ์ กุมาร
แก้ลมจับปวดศีร์ษะตาแดงตาฟางแล้วสุมยาต่อไป
ยา สุม ขนานนี้ท่านให้เอา ดอกมะลิ ๑ ดอกพิกุล ๑ ดอกกระดังงา ๑
ใบพุดทรา ๑ ใบผักเป็ด ๑ รากเข้าสาร ๑ รากสลิด ๑ รากอัญชัน ๑ รากมูลกาทั้ง ๒ หัวหอม
๑ ดินประสิวขาว ๑ รวมยา ๑๒ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดสุมกระหม่อม
แต่เช้าจนเที่ยงจึงเอาออกเสีย แล้วจึงทำยาพอก ศีร์ษะแม่เท้าต่อไป
ยา พอกศีร์ษะแม่เท้า ขนานนี้ท่านให้เอา หญ้าเกล็ดหอยใหญ่ ๑ ใบบัวบก
(ผักหนอก ๑) สานหนู ๑ ของทั้ง ๓ นี้เอาพอพอกศีร์ษะแม่เท้า เอาดินประสิวขาว ๒ ไพ
ปรอด ๑ สลึง บดพอกศีร์ษะแม่เท้าทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ แก้ต้อขึ้นตา
ยา หยอดตาสำหรับกัน ขนานนี้ท่านให้เอา นอแรด ๑ น้ำนมเสือ ๑ ผลสมอเทศ
๑ รากตำลึงตัวผู้ ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคบดทำแท่ง
ฝนด้วยน้ำค้างหยอดแก้สาระพัดตานทรางทั้งปวงขึ้นตา
แล้วจึงแต่งยาชื่อว่าสรรพคุณลิกานั้น สำหรับแก้ตานโจรพวกนี้ต่อไป
ยา ชื่อสรรพคุณลิกา เอาขิงแห้ง ๑ บดในวันอาทิตย์ตากให้แห้ง แห้วหมู ๑
บดในวันจันทร์ตากให้แห้ง ผลพิลังกาสา ๑ บดในวันอังคารตากให้แห้ง ขมิ้นอ้อย ๑
บดในวันพุฒตากให้แห้ง พริกไทย ๑ บดในวันพฤหัศบดีตากให้แห้ง ดีปลี ๑
บดในวันศุกร์ตากให้แห้ง ใบสะเดา ๑ บดในวันเสาร์ตากให้แห้ง รวมยา ๗
สิ่งนี้เอาเสมอภาคแช่มูตร์ โคดำไว้
เมื่อถึงเพ็ญวันจันทร์จึงเอายานี้ไปบดในพระอุโบสถ แล้วให้บูชาด้วยธูปเทียนดอกไม้
แลบายศรี สำรับหนึ่งจึงประสิทธิ แลผู้ที่จะบดนั้นต้องสมาทานรักษาศีล ๕ ศีล ๘
ประการด้วย เมื่อเข้าพิธีบดยานั้น ให้บริกรรม ด้วยพระคาถานี้ไปกว่าจะแล้ว
สัพฺพโรควินิมุตฺโต สัพฺพสันฺตา ปวัช์ชิโต สัพฺพเวรมติกฺกันฺโต นิพฺพุโตจตุวํ ภว
สัพฺพีติโย วิวัช์ชันฺตุ สัพฺพโรโควินัสฺสตุ มาเตภวัตฺวันฺตราโย สุขีทีฆายุโก
ภวฯลฯ ครั้นบดแล้วเมื่อกำลังทำแท่งนั้น ให้เศก ด้วยสัพฺพาสีฯ พระอิติปิโสฯ สิ่งละ
๑๐๘ คาบ แล้วจึงใช้เถิดประสิทธิ ทุกประการ
ถ้าจะแก้ตานโจรตกมูกเลือดปวดมวนแลดากออกก็ดี
ละลายน้ำเปลือกแคต้มแก้น่าแข้งเป็นเกล็ดกระดี่แลเป็นหนามดังหนังกระเบน
ละลายน้ำปูนใสกิน ถ้าถอนรากออกมาได้ดังสิวเสี้ยนจึงหายขาด
แก้ผอมแห้งละลายน้ำผลสมอไทยต้มกินประจำท้องทุกวัน ถ้าเจ็บฟกบวมละลายน้ำปูนใสทา
ถ้าแก้เส้นเคล็ดแคลงช้ำแลกระดูกแตกหักในที่ใดๆก็ดี ละลายน้ำมันงาทา
ถ้าแก้ท้องขึ้นละลายน้ำมะกรูดกิน
ยา แก้ต้อต่างๆ ท่านให้เอาดอกพิกุล ๑ ดอกบุนนาค ๑ ดอกสาระภี ๑
ดอกพุทธรักษา ๑ เกสรบัวหลวง ๑ โกฐทั้ง ๕ เปลือกพุดทรา ๑ สหัศคุณเทศ ๑ สมุลแว้ง ๑
แก่นสน ๑ สักขี ๑ จันทนฺทั้ง ๒ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน เอายาสรรพคุณลิกา ๒๐
ส่วนทำเป็นจุณเอาน้ำดอกไม้เป็นกระสายบดทำแท่ง แก้นอนมิหลับละลายน้ำเย็นทาหลังตา ๓
วันจะนอนหลับ, แก้ต้อตานโจรละลายน้ำตำลึงหยอดตา,
แก้ถูกโหรายาพิษแลสานหนู ละลายน้ำเปรียงพโคกิน, แก้น้ำตาตกละลายน้ำค้างทาหลังตา, แก้ปวดฟันรัมมะนาดละลายน้ำมะนาวทาบ้างอมบ้าง,
ถ้าจะบำรุงกำลังละลายน้ำนมโค ก็ได้ น้ำนมคนก็ได้กินมีกำลัง, แก้ตานโจรซึ่งแปรไปเป็นประเภทต่างๆดังกล่าวมาแต่หลังนั้นหายสิ้นทุกประการ
ยากวาด แก้ทรางแดง ขนานนี้ท่านให้เอา สังข์ ๑ ชาดทั้ง ๓ บัลลังสิลา ๑
มูลแมลงสาบขั้ว ๑ กรามแรด ๑ กรามช้าง ๑ เขี้ยวเสือ ๑ เขี้ยวจรเข้ ๑ เขาฟาน ๑
หญ้าใต้ใบ ๑ เกสรบัวหลวง ๑ พิมเสน ๑ รวมยา ๑๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งละลายน้ำทลายหมากดิบทาปาก แก้ทรางแดงอันเน่าเปื่อย
อนึ่ง ถ้าทรางขึ้นในรูหูนั้น ให้เน่าเปื่อยแลเหม็นก็ดี
เป็นน้ำเหลืองก็ดี ท่านว่ามีตัวดังมะเร็งไรกินอยู่ในหูนั้น
ถ้าแพทย์จะแก้ให้หุงน้ำมันนี้ใส่จึงหาย
น้ำมัน ใส่หู ขนานนี้ท่านให้เอา น้ำใบเลี่ยน ๑ จอก น้ำใบผักบุ้งขัน ๑
จอก น้ำขมิ้นอ้อย ๑ จอก น้ำมันมะพร้าว ๑ จอก น้ำเปลือกมะขามขบ ๑ จอก
ดินปลักควายแช่เอาน้ำ ๑ จอก น้ำผลลำโพง ๑ จอก น้ำมันงา ๑ จอก ยา ๘
สิ่งนี้หุงให้คงแต่น้ำมันแล้วจึงเอาผลเบ็ญกานี ๑ สีเสียดทั้ง ๒ ฝิ่น ๑ ศิลายอน ๑
รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ ปรุงลงในน้ำมันให้เข้ากันใส่หูแก้ ฝีในหูแลตานทราง
แลต้อขึ้นตาก็ได้
น้ำมัน ทาหู ขนานนี้ท่านให้เอา น้ำสมอฝ้ายเทศอ่อน ๑ จอก
น้ำใบฝ้ายเทศอ่อน ๑ จอก น้ำใบมูลกาแดงอ่อน ๑ จอก น้ำใบชิงช้าชาลี ๑ จอก
น้ำใบบระเพ็ด ๑จอก น้ำมันงา ๑ จอก รวมยา ๖ สิ่งนี้หุงให้คงแต่น้ำมันใส่หูเน่า, หูเปื่อย
อนึ่งถ้าแลกุมารเกิดทรางในหู แล้วกลายเป็นฝีมีแม่ , มีตัวแลเป็นฝีมะเร็งเรื้อรังมาหลายปีหลายเดือนแล้วก็ดี
ถ้าจะแก้ท่านให้หุงน้ำมันนี้ใส่
น้ำมัน ใส่หู เอาน้ำเปลือกประดู่ ๑ ทนาน น้ำเปลือกสะเดา ๑ ทนาน
น้ำเปลือกมะม่วงคัน ๑ ทนาน น้ำเปลือกหว้า ๑ ทนาน น้ำผักบุ้งขัน ๑ ทนาน น้ำผลลำโพง
๑ ทนาน น้ำเปลือกเลี่ยน ๑ ทนาน น้ำเปลือกตาเสือ ๑ ทนาน น้ำมันงา ๑ ทนาน รวมยา ๙
สิ่งนี้หุงให้คงแต่น้ำมัน แล้วเอาดีนกยูง ๑ ดีหมี ๑ สานหนู ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน
รากระย่อม ๘ ส่วน เมล็ดกะเบาขั้ว ๑ เมล็ดลำโพง ๑ สีเสียด ๑ ยางตะเคียน ๑ รวมยา ๘
สิ่งนี้ทำเป็นจุณ แล้วปรุงลงในน้ำมันใส่หูเน่า, หูเปื่อย
น้ำมัน ใส่หู ขนานหนึ่งเอา น้ำผลลำโพง ๑ ถ้วย น้ำเมล็ดในมะนาว ๑ ถ้วย
น้ำผลประคำดีควาย ๑ ถ้วย น้ำยาฝิ่น ๑ ถ้วย น้ำเห็ดมูลโค ๑ ถ้วย น้ำเนรภูสี ๑ ถ้วย
น้ำดีงูเหลือม ๑ ถ้วย น้ำมันงา ๑ ถ้วย รวมยา ๘ สิ่งนี้หุงให้คงแต่น้ำมัน
ใส่ฝีมีแม่, มี
ตัวในหู ถ้าลามเปื่อยออกมาข้างนอกเอาน้ำมันนี้ทาหาย
ถ้าเป็นน้ำหนวกไหลออกมาเอากระดาษฟางม้วนเล็กๆ จุ้มน้ำมันแล้วยอนคา
ไว้ในหูสักครึ่งชั่วโมง
ยา แก้ตกมูกเลือดตานโจร เอาพิมเสน ๑ เทียนทั้ง ๕ ผลจันทนฺ ๑
ดอกจันทนฺ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ จันทนฺทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กะลำภัก ๑ ชะเอมเทศ ๑
อบเชยเทศ ๑ เปราะหอม ๑ การะบูร ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ ดีปลี ๑ ลิ้นทะเล ๑
กันชา ๑ เมล็ดพรรณ์ผักกาด ๑ เกสรบัวหลวง ๑ ดอกมะลิซ้อน ๑ ดอกมะลิลา ๑ ดอกพิกุล ๑
เอาสิ่งละ ๓ ส่วน ยาฝิ่น ๑ ส่วน รวมยา ๒๙ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ
เอาดีงูเหลือมละลายน้ำเป็นกระสายบดทำแท่ง ละลายน้ำดอกไม้กิน
แก้ตานโจรกระทำให้ลงท้อง, ตกมูก,
ตกเลือด, ปวดมวน
ยา ต้มชื่อมหาสงเคราะห์ เอาเถาหญ้านางทั้งต้นทั้งราก ๑
ทับทิมทั้งต้นทั้งราก ๑ มะเกลือทั้งต้นทั้งราก ๑ สะแกทั้งใบทั้งราก ๑
พุงดอทั้งใบทั้งราก ๑ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง
๑ ดีปลี ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ น้ำประสานทอง ๑ ฝักราชพฤกษ์ ๑ บระเพ็ดรอบศีร์ษะคนไข้
เถาชิงช้าชาลีรอบศีร์ษะคนไข้ มูลกาทั้ง ๒ รวมยา ๑๙
สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้มด้วยเหล้าครึ่งน้ำครึ่ง ใช้ไฟแกลบ กินแก้ตกมูก, ตกโลหิตเพื่อตานโจร
ยา ต้มตัดรากตานโจร เอาโกฐทั้ง ๕ เทียนทั้ง ๕ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑
กระวาน ๑ กานพลู ๑ สังกรณี ๑ เนรภูสี ๑ จันทนฺทั้ง ๒ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑
ผลเบ็ญกานี ๑ กัมถันแดง ๑ ยาดำ ๑ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน ตาลทั้ง ๕ รากเจ็ตพังคี ๑
รากกระเพรา ๑ รากไข่เน่า ๑ รากมะเกลือ ๑ รากพยามูลเหล็ก ๑ รากพุงดอ ๑ รากมะแว้งทั้ง
๒ รากมะเขือทั้ง ๒ รากทับทิม ๑ รากเล็บมือนาง ๑ รากสะแก ๑ รากกะพังโหม ๑ รากช้าพลู
๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากเจ็ตมูลเพลิง ๑ รากมะกล่ำทั้ง ๒ รากก้างปลาแดง ๑ รากต่อไส้ ๑
รากกรด รากผักคราด ๑ รากคนทีสอ ๑ บระเพ็ด ๑ เถาชิงช้าชาลี ๑ แห้วหมู ๑ เถาสะค้าน ๑
ข่า ๑ ไพล ๑ ฝักส้มป่อย ๑ หญ้าใต้ใบ ๑ กระทืบยอด ๑ ขอบชะนางทั้ง ๒ เอาสิ่งละ ๔
ส่วน ผลมูลกาแดง ๓ ผล ผลมูลกาขาว ๓ ผล ขมิ้นอ้อย ๓ หัว ผลมะกรูด ๓ ผล รวมยา ๖๘
สิ่งนี้ ต้มด้วยเหล้าครึ่งน้ำครึ่งกินแก้ตกมูกตกโลหิต เป็นยาล้างท้องตานโจร
แลตานทรางทั้งปวง
ยา ชื่อทองแนบเนื้อ (ใหญ่) เอาเนื้อผลยอสุกเอาแต่เนื้อ ๑
เนื้อผลสมอเทศ ๑ ดินถนำ ๑ เทียนเยาวภานี ๑ โกฐสอ ๑ รากไคร้เครือ ๑ กำลังวัวเถลิง ๑
การะบูร ๑ ชะเอมเทศ ๑ น้ำประสานทอง ๑ พิมเสน ๑ รวมยา ๑๑
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งละลายน้ำผลสมอไทยต้ม กินเจริญมังษะ
แลเจริญอาหาร ด้วย
ยา ชื่อทองเนื้องาม เอาเทียนทั้ง ๕ สิ่งละ ๑ ส่วน ไพล ๑ การะบูร ๑
สิ่งละ ๒ ส่วน เนื้อสมอไทย ๑ เนื้อสมอพิเภก ๑ ยาดำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ ขมิ้นอ้อย ๑
เกลือสินเธาว์ ๑ ผิวมะกรูด ๑ หว้านน้ำ ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน ใบสมอทะเลเท่ายาทั้งหลาย
รวมยา ๑๖ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ เอาสุราเป็นกระสาย บดทำแท่งละลายน้ำมะกรูดก็ได้
น้ำมะนาวก็ได้ กินเจริญมังษะเจริญอาหาร
ถ้าจะให้ผายละลายน้ำส้มมะขามเปียกแซกดีเกลือ , ดีงูเหลือม,
อัน ว่าลักษณะพยาธิอันชื่อว่าอมุลธาตุ นั้น
บังเกิดเพื่อทรางตั้งขึ้นในลำไส้ใต้สดือเท่าเมล็ดเข้าโภชนฺ ตั้งอยู่กำหนด ๙ วัน ๑๐
วันก็แตกออก ทำให้ลงท้องเป็นน้ำคาวปลา ออกมาจะนับเวลามิได้
แล้วให้ตกโลหิตออกมาเป็นก้อน ๓ วันบ้าง ๔ วันบ้าง
ภายหลังจึงเป็นโลหิตเสมหะเน่าระคนกันออกมา ให้มีอาการระหายน้ำ, เชื่อมซึม, ตัวร้อน,
เบื่ออาหาร ซูบผอม ถ้าแพทย์จะแก้ให้แก้ทางบิด
ปวดมวนเป็นเสมหะโลหิตเสียก่อน ถ้ายังมิหายจึงต้มยาชำระ ให้กินต่อไป
ยา ชำระโทษตานโจร เอากระเพราทั้ง ๕ กะพังโหมทั้ง ๕ ผลขี้กา ๒ ผล กับ
๑ เสี้ยว มะกรูด ๒ ผล กับ ๑ เสี้ยว บระเพ็ดยาวเท่าฝ่าเท้าคนไข้ ขมิ้นอ้อย ๗ ชิ้น
ฝักส้มป่อย ๗ ฝัก สมอทั้ง ๓ สิ่งละ ๓ ผล ยาดำ ๑ บาท ฝักราชพฤกษ์ ๑ บาท รวมยา ๑๒
สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แซกดีเกลือกินตามกำลังธาตุ ชำระโทษร้าย ดังกล่าวมานั้นตกสิ้น
แล้วจึงแต่งยาคุม ให้กินต่อไป
ยา แก้มูกเลือดตานโจร ขนานนี้ท่านให้เอา ใบเทียน ๑ ใบทับทิม ๑
ใบผักขวง ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้
ละลายน้ำเปลือกแคต้มกิน ถ้ามิฟังให้ต้มยาขนานนี้ เอาเมล็ดในมะม่วงกะล่อน ๓ เมล็ด
จันทนฺทั้ง ๒ กฤษณา ๑ สักขี ๑ ผลจันทนฺ ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ เปลือกปะโลง ๑
เปลือกฝิ่นทั้ง ๒ รวมยา ๑๐ สิ่งนี้ต้ม ๓ เอา ๑ กิน
ยา ชื่อมหาอุด ขนานนี้เอา ครั่ง ๑ ผลจันทนฺ ๑ ผลเบ็ญกานี ๑
สีเสียดเทศ ๑ ยางตะเคียน ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
แล้วยัดเข้าในผลทับทิมอ่อน เอามูลโคพอกสุมไฟแกลบให้สุกดี จึงเอามาบดทั้ง
ผลทับทิมทำแท่งไว้ละลายน้ำปูนใสกิน ๕ เม็ด
แล้วท่านให้แซกด้วยยาชื่อตรีผลาหอมให้แซกหัวหอมรำหัดพิมเสนกิน
แล้วจึงแก้ด้วยยาชื่อว่าเบ็ญจตาน ตามซึ่งกล่าวข้างต้นนั้นแล้ว อุปเทห์
ยาเบ็ญจตานนี้ ถ้าจะแก้ในเรื่องตานโจร แก้เชื่อมให้เอาใบขัดมอน น้ำผลจันทนฺ
น้ำผลเสนียดต้ม แซกพิมเสนกินแก้ตกมูกตกโลหิต
ยา ชื่อทองพันชั่งขนานนี้ เอารากตานทั้ง ๕ รากมะแว้งทั้ง ๒ รากจิงจ้อ
๑ รากมะเกลือ ๑ รากมะเขือขื่น ๑ รากเล็บมือนาง ๑ ข่า ๑ ขิง ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ตรีผลา ๓
ผล มูลกาทั้ง ๒ ผลโหระพา ๑ เทียนเยาวภานี ๑ แห้วหมู ๑ บระเพ็ด ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท
ยาดำ ๓ บาท รวมยา ๒๔ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ตานทรางแลตานโจร
เป็นยาล้างท้องแลแก้ตกมูกตกเลือด แก้ทรางทั้ง ๗ จำพวก ตั้งแต่กุมารอายุได้ ๓
เดือนนั้นไปจนถึง ๑๒ ขวบ เป็นพ้นกำหนด ครั้นกินยาชำระล้างท้องแล้ว
จึงเอายาชื่องทองเนื้องามละลายน้ำส้มซ่าให้กินประจำท้องต่อไป
ทั้งชูรสอาหารแลปลูกผิวเนื้อหนังให้บริบูรณ์ด้วย
อัน ว่าลักษณะมุสกายธาตุนั้น บังเกิดเพื่อทรางโคแลทรางอันนี้
เมื่อแรกจะเกิดขึ้นนั้น ให้พรึงขึ้นทั่วทั้งตัว
ดังยอดหัดกระทำให้คันแต่ยอดนั้นขาวหาน้ำมิได้ อยู่ได้ประมาณ ๘ วัน ๙ วัน
ก็จมเข้าไปกระทำท้องให้ลงดังน้ำล้างเนื้อ มักให้อยากของสดของคาว เมื่อแก่ไปถึง ๒
เดือน ๓ เดือน ก็ทำให้เชื่อมให้ตาแดง แลทรางยอดเอกได้ขึ้นข้างลิ้นเม็ด ๑
โตเท่าเมล็ดเดือย แข็งดังตาปลา ถ้าแพทย์กวาดด้วยยาเม็ดนั้นมิจม โรคนั้นก็ไม่ถอย
อยู่ประมาณได้ ๖ เดือน ให้นับแต่แรกวันล้มเจ็บมา
อันว่าทรางที่ผุดออกมาจากตัวแล้วแลจมเข้าไปอยู่นั้นก็กลับผุดออกมา เป็นเม็ดแดงๆ
ดุจไข้ระบุชาติ แล้วกระทำให้จับเป็นเวลา ให้ตัวร้อน แต่มือเท้าเย็นเสมอไป
หาเป็นเวลาไม่ ให้ระหายน้ำให้หอบให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเป็นดังกล่าวมานี้
ท่านว่ากุมารกุมารีผู้นั้นตกอยู่ในเงื้อมมือแห่งพระยามัจจุราช
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะแก้ให้แก้แต่ยังอ่อน อยู่ คือเมื่อตัวกำลังพรึงขึ้นครั้งก่อนนั้น
ท่านให้เอายาอันชื่อว่าพระสุริยจันทนัง นั้นมาชะโลมก่อน
แล้วจึงแก้ด้วยยาทั้งปวงต่อไป
ยา แก้คันขนานนี้ เอาใบพร้ามอญ ๑ ใบพุดซ้อน ๑ ใบชิงช้าชาลี ๑
ใบบระเพ็ด ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ใบกระบือเจ็ดตัว ๑ รวมยา ๖
สิ่งนี้เอาเสมอภาคบดแซกการะบูรแต่น้อย ทำแท่งไว้ละลายน้ำท่าทาตัวแก้คันหาย
ยา แดงแก้ลงขนานนี้ เอาจันทนฺทั้ง ๒ สน ๑ สัก ๑ กรักขี ๑ สังกระณี ๑
เนระภูสี ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ ฤาษีประสมแล้ว ๑ ใบระงับ ๑ ใบผักขวง ๑
ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ สีเสียดทั้ง ๒ รวมยา ๑๗
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาสุราเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำเปลือกแคแดงกินแก้ลง ถ้ามิหยุดให้เอายาประสระแดงใหญ่นั้นมาแก้ต่อไป
ยากวาด แก้ตัวร้อนขนานนี้ เอาผลมะกรูด ๑ ตรีกระฏุก ๓ กระเทียม ๑
ผลมะแว้งเครือ ๑ ไพล ๑ สุพรรณถันแดง ๑ รวมยา ๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาน้ำประสานทองเท่ายาทั้งหลายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะนาวกวาด
ถ้ามิฟังให้แซกจุณสีสะตุ ๑ กล่ำ เอากะปิดดีเผาให้โชน ๒ กล่ำ เอายานั้น ๑ เม็ด
ละลายน้ำสลอดน้ำกวาดตกดีนัก
ยากวาด แก้ไอแก้รากขนานนี้ เอาแววนกยูงเผา ๑ เปลือกแมลงดาเผา ๑
หางปลาช่อนเผา ๑ น้ำประสานทองสะตุ ๑ กระเทียม ๑ หัวหอม ๑ ไคร้หอม ๑ ดอกผักคราด ๑
รวมยา ๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะนาวกวาดแก้ไอ
ถ้าจะแก้รากละลายน้ำผลยอต้มกวาด ถ้าแลด้านอยู่ กวาดด้วยยาอันใดๆมิฟัง
ท่านให้เสี้ยม ไม้ฝาง แทง เสีย
ถ้าแทงไม่ถนัดท่านให้แกะเอาด้วยเล็บให้แตกแล้วจึงเอายาชื่อสรรพคุณสาลิกา
ละลายน้ำขมิ้นอ้อยกวาดเสียวันหนึ่งให้ได้ ๓ เวลา ๔ เวลา แล้วจึงแต่ง ยาสมาน
กวาดสมานต่อไป
ยา ชื่อไพจิตรมหาวงษ์ เป็นยาสมานขนานนี้ เอารากมะขามป้อม ๑
รากมะกล่ำทั้ง ๒ จันทนฺทั้ง ๒ น้ำประสานทองสะตุ ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ สีเสียดเทศ ๑
เขากุย ๑ เขากวาง ๑ งาช้าง ๑ นอแรด ๑ รวมยา ๑๒ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่าแซกพิมเสน, ฝิ่น, น้ำผึ้ง, เกลือสินเธาว์
ทาปากแก้ลิ้นกระด้างคางแข็งแก้โลหิตออกทางปาก
ยา ชื่อแสงกระบิลพัสดุ์ ขนานนี้เอาสรรพดีทั้ง ๘ เทียนทั้ง ๕
เอาสิ่งละ ๑ ส่วน โกฐทั้ง ๕ เอาสิ่งละ ๒ ส่วน ผลราชดัด ๑ ผลสาระพัดพิษ ๑
หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่องทอง ๑ สังกระณี ๑ เนระภูสี ๑ กระเช้าทั้ง ๒ อัคนีชวา ๑
สุรามฤตย์ ๑ ชะเอมทั้ง ๒ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ หญ้ารากขาว ๑ หญ้ารากดำ ๑
รากไคร้เครือ ๑ รากเข็มแดง ๑ รากแตงหนู ๑ ใบระงับ ๑ ใบสวาด ๑ ใบสะเดา ๑ ใบกระเพรา
๑ ใบประคำดีควาย ๑ เอาสิ่งละ ๔ ส่วน รวมยา ๖๒ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ เอาน้ำเปลือกมะรุมต้มเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำสุรากินแก้คลั่งเพ้อแก้
สลบ ถ้าจะกวาดทราง ละลายน้ำมะนาวแซกน้ำประสานทองสารส้มกวาด
ถ้าจะแก้คลั่งให้เอากระดูกแร้งเผา ๑ หนังแรดเผา ๑ แซกลงกับยาบดให้กิน
ถ้าจะแก้พิษฝีพิษงูละลายน้ำสุรากิน ถ้าจะแก้พิษทราง พิษตานโจร พิษไข้ละลายน้ำดอกไม้แซกพิมเสนแก้สาระพัดพิษทรางอันเกิดเพื่อมุสกายธาตุนั้น
ตกสิ้น
ยา ชื่อประสระการบูร เป็นยาประจำท้องขนานนี้เอาตรีกระฏุก ๒ ส่วน
กานพลู ๕ ส่วน มหาหิงคุ์ ๖ ส่วน พริกไทยล่อน ๑ เจ็ตมูล ๑ การะบูร ๑ เอาสิ่งละ ๘
ส่วน ใบหนาด ๑ หัวดองดึง ๑ เอาสิ่งละ ๒๐ ส่วน รวมยาทุกสิ่งนี้ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะกรูดก็ได้
น้ำส้มซ่าก็ได้กินแก้สาระพัดลมทราง ถ้าจะแซกไพล ๑ หว้านน้ำ ๑ ผิวมะกรูด ๑ กระเทียม
๑ ลงอิกสิ่งละ ๘ ส่วน ดังนี้ ชื่อว่าวาโยนาศกินแก้ลมผู้ใหญ่ก็ได้
อัน ว่าลักษณะพยาธิอันชื่อว่า สุจิมุกขกาลหิระนั้น บังเกิดเพื่อทรางช้างแลซึ่งแปรมาเป็นทรางโจรนั้น
แลพยาธิจำพวกนี้เกิดขึ้นเป็นอุปปาติกะ อยู่ในไส้อ่อนไส้แก่ เป็นตัวดังงูเล็ก
ตัวนั้นขาวประมาณเท่าไม้มวน สมมุติเรียกว่าไส้เดือน
มีจิตรวิญญาณเกิดพืชนฺเป็นรังอยู่ในไส้ใหญ่
เมื่อมันแก่ขึ้นพร้อมกันแล้วจึงเบียฬอายุสัตว์กระทำให้ซูบผอมให้ท้องโร
กินอาหารมิรู้อิ่ม บางทีให้จุกเสียดขบในท้องบางทีให้อาเจียร
ครั้นถ้วนกำหนดเดือนหนึ่งตัวนั้นแก่หนักเข้าแล้วก็ทำให้ดิ้นเสือกสนไปมา
พันกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนกลิ้งไปมา แลในท้องลั่นเสียงดัง
บางทีก็เลื้อยออกมาทางปากบางทีก็เลื้อยออกมาทางทวารหนัก ย่อมกระทำให้กุมารแลกุมารีผู้นั้นเจ็บปวดลำบากนัก
แล้วให้จับเป็นเวลา กระทำให้ตัวร้อนแล้วก็ขึ้นจับ เอาในตาให้ตาเป็นสายโลหิต
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาให้รักษาแลวางยารุ ไส้เดือนนั้นให้ระวังรุให้จงดี
ถ้าไส้เดือนออกมิทันจะขึ้นกลัด เอาลำคอกลัดทวารตายเสียเช่นนี้เป็นอันมากมาแล้ว แลพยาธิจำพวกนี้ย่อมเกิดทั่วไปทุกๆทรางทั้ง
๗ วัน แต่อาไศรยเหตุจำเภาะเป็นด้วยอาหารแปลกธาตุ จึงเป็น
ถ้าแพทย์จะรักษาท่านให้เอายาสรรพคุณสาลิกาละลายน้ำผลมะเกลือสดให้กินดูก่อน
แล้วจึงแก้ด้วยยาทั้งปวงต่อไป
ยา แก้ไส้เดือน ขนานนี้เอา สุพรรณถันแดง ๑ ส่วน เมล็ดผลสะแก ๑ ผลสลอด
๑ เมล็ดในมะเกลือ ๑ เอาสิ่งละ ๔ ส่วน รวมยา ๔ สิ่งนี้ทำเป็นจุณไว้
แล้วจึงเอาฟองไก่ ๑ ฟอง เอายาผงที่ทำไว้หนัก ๒ ไพ
กวนเข้าด้วยกันกับฟองไก่นั้นแล้วเจียวขึ้นกินให้หมดแก้ไส้เดือน ถ้าแลให้สวิงสวาย
รันทด ไปละลายน้ำตาลกรวด น้ำมะนาวรำหัดพิมเสน แล้วจึงให้กินยาหอมทั้งปวงต่อไป
ยา ต้มชำระไส้เดือนทั้งสมานลำไส้ด้วย ขนานนี้เอารากเล็บมือนาง ๑ ส่วน
ผลราชดัด ๑ ผลผลาญสัตรู ๑ ผลกราย ๑ เอาสิ่งละ ๒ ส่วน โกฐกักกรา ๔ ส่วน ยาดำ ๘ ส่วน
รากปริก ๑ รากทับทิม ๑ เอาสิ่งละ ๑๘ ส่วน ผลมูลกา ๓ ผล ฝักส้มป่อย ๗ ฝัก ผลมะกรูด
๓ ผล ขมิ้นอ้อยหัวยาว ๑ คืบ บระเพ็ดรอบศีร์ษะคนไข้ รวมยา ๑๔
สิ่งนี้เอาสุราครึ่งหนึ่งน้ำครึ่งหนึ่งเป็นกระสายต้มกิน
แก้ตัวไส้เดือนตกสิ้นทั้งกระชับลำไส้ มิให้ท้องใหญ่
พยาธิ
จำพวกหนึ่งบังเกิดเพื่อทรางโจรเกิดแต่กระดูกสันหลังถึงสมองศีร์ษะแล่นไปใน
เอ็นทุกแห่ง แล้วก็ให้เป็นลมแล่นเข้าในไส้ใหญ่ให้ขัดขึ้นขัดลง
แล้วแล่นลงไปในกระเพาะปัสสาวะให้ขัดปัสสาวะเป็นนิ่วแล้วให้ท้องใหญ่ไส้
พองกระทำให้จักษุมืดจักษุฟาง ให้ตกมูกเลือดปวดมวนนัก
ตัวก็ซูบผอมไปด้วยพยาธิจำพวกนี้เกิดขึ้นในเนื้อ แลตามเอ็นนั้นทั้งตัวมี ๓ จำพวก
ชื่อกัณณะจำพวกหนึ่งชื่อรัชชะกะจำพวกหนึ่ง ชื่ออวัณณะจำพวกหนึ่ง เป็น ๓
จำพวกด้วยกันดังนี้ มีตัวดังตัวไรไต่ตามกันอยู่ในเนื้อ
จึงกระทำให้ซูบผอมไปดุจดังกล่าวมาแต่หลังนั้น
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะแก้ให้แต่งยาชำระตัวเสียก่อนจึงจะคลายให้แพทย์ทั้งหลายรู้
ดุจกล่าวมานี้
ยา รุเสมหะตานโจร ขนานนี้เอา ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ กระวาน ๑ กานพลู
๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ ดีปลี ๑ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน ผลสลอดฆ่าแล้ว ๒ ส่วน รวมยา ๘
สิ่งนี้ทำเป็นจุณ แต่เมื่อจะฆ่าสลอดนั้นจงปอกเปลือกเสียให้หมดเอาแช่น้ำเกลือไว้ ๒
คืน แล้วจึงเอายัดในผลมะกรูดหมกไฟให้สุกเกรียมแล้ว จึงเอามาทั้งผลมะกรูดประสมเข้ากับยาทั้งนั้น
บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน ๗ เม็ด ถ้ากุมารนั้นอายุได้ ๓ ขวบ ๔ ขวบให้กิน ๙ เม็ด
รุเสมหะตานโจรตกสิ้น
ยา รุตัวพยาธิตานโจร ขนานนี้เอา พิมเสน ๑ การบูร ๑ ผลจันทนฺ ๑
ดอกจันทนฺ ๑ กานพลู ๑ ใบกระเพรา ๑ ใบสวาด ๑ เอาสิ่งละ ๒ ส่วน รวมยา ๗ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ
เอาผลสลอดนั้น ๑๔ ส่วน ปอกเปลือกเอาไส้ในออกเสียล้างน้ำให้มด
เอาผ้าขาวห่อใส่หม้อกับเข้าให้แห้งกวน ๓ หน
แล้วเอามาขั้วกับน้ำปลาดีให้เกรียมแล้วทับน้ำมันออกเสีย
แล้วจึงเอามาประสมเข้ากับยาทั้งนั้น บดทำแท่งไว้เท่าเมล็ดถั่วเขียว
ให้กุมารกินแก้ผอมเหลืองให้ลงเป็นมูกเลือด ถ้ากุมารอายุได้ ๑ ขวบให้กิน ๗เม็ด
ถ้ากุมารอายุได้ ๒ ขวบกิน ๙ เม็ด ถ้ากุมารอายุได้ ๓ ขวบให้กิน ๑๑ เม็ด
ให้กินตามกำลังเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าไม่ลง จะให้ลงเอาจันทนฺหอมทาตัว ถ้าลงนัก
เอาผลมะตาดกวนกับน้ำอ้อยงบต้มให้กินหยุดลง
ยา รุตานโจร ขนานนี้เอา ดีปลี ๑ กระวาน ๑ ผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑
ผลผักชี ๑ ผลสมอไทย ๑ ผลสมอเทศ ๑ เกลือสินเธาว์ ๑ ชาดก้อน ๑ เอาสิ่งละ ๑ ส่วน
ผลสลอดเอาที่เปลือกดำ ๒ ส่วนอย่าประสระเอาทั้งเปลือก กานพลู ๔ ส่วน รวมยา ๑๐
สิ่งนี้ทำเป็นจุณ เอาน้ำผึ้งเป็นกระสาย บดทำแท่งไว้เท่าเมล็ดพริกไทย ถ้าธาตุหนักกิน
๓ เม็ด ธาตุเบากิน ๑ เม็ด รุชำระ ตัวพยาธิตานโจรตกสิ้นมีคุณดุจกัน
ยารุกุมาร อันได้เดือน ๑ ขึ้นไปจนถึงขวบ ๑ แล ๒, ๓ ขวบก็ดี ขนานนี้ เอากานพลู ๑
ขมิ้นอ้อย ๑ ไพล ๑ เข้าสุก ๑ ผลสลอด ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
แต่ฆ่าสลอดนั้นด้วยใบมะขาม, ใบ ส้มป่อยสิ่งละกำมือ
เกลือกำมือ ๑ ต้มกับสลอดให้สุกแล้ว เอาผึ่งให้แห้งเก็บเอาแต่เนื้อสลอดนั้น
มาบดเข้ากับยาทั้งนั้นทำแท่งไว้เท่าเมล็ดนุ่น ใส่ป้อนกับเข้าสุกให้กุมารกินเถิด
อันว่ายารุขนานนี้ท่านมิได้ว่าจำเภาะยาทรางอันใด
แต่ว่าให้แพทย์ผู้ฉลาดพิจารณาตามกำลังโรคซึ่งหนักแลเบานั้นเถิด
อันนี้ท่านกล่าวไว้ว่า กุมารกุมารีเกิดมาวันใดก็ดี
ถ้าแลยังมิพ้นกำหนดทรางเจ้าเรือนแลทรางจร
ท่านว่ามิให้วางยาผายแลยาเข้าสลอดเป็นอันขาดทีเดียว
ด้วยเหตุว่ากำหนดอายุนั้นอ่อนนักยังวางยามิได้ แลกำลังนั้นก็ยังน้อยอยู่
ถ้าจะวางยาให้วางตั้งแต่อายุ ๕ ขวบขึ้นไป ถ้าสูงอายุตั้งแต่ ๖๐ ปีขึ้นไป
ท่านมิให้วางยาเข้าสลอดเป็นอันขาด เหตุว่าชะราแล้วกำลังน้อยถอย
พระอาจารย์เจ้าท่านว่าสลอดนี้มีคุณยิ่งมหันตโทษ อนันตฺเท่าฟ้า
ถ้ารู้วางยาก็วางง่ายกว่าสิ่งทั้งปวง
อนึ่ง พยาธิภายนอก ซึ่งมีตัวอันกินซึมซาบออกตามผิวเนื้อนั้น แลสำแดงอาการต่างๆ
ดุจกล่าวมาแต่หลัง ถ้าจะแก้ท่านให้แต่งยาทาตัว แก้ตัวพยาธิภายนอกให้ตก
ยา ทาตัวแก้พยาธิขนานนี้ เอารากปลาไหลเผือก ๑ เอื้องเพ็ดม้า ๑
เมล็ดในมะนาว ๑ เมล็ดในชุมเห็ดเทศ ๑ ผลมูลเหล็ก ๑ เปลืกกระเบา ๑ เปลือกกระเบียน ๑
เปลือกเลี่ยน ๑ รากทองหลางหนาม ๑ รากทองพันชั่ง ๑ ผลมะแว้งเครือ ๑ ผลมะเขือขื่น ๑
บัลลังกฺศิลา ๑ หอระดานทอง ๑ ยาฝิ่น ๑ พิมเสน ๑ รวมยา ๒๐
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
เอาน้ำมะนาวเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำจันทนฺแดงทาตัวแก้พยาธิอันเป็น
แผ่นเป็นเม็ดก็ดีตกสิ้น
พยาธิจำพวกนี้กินออกถึงผิวเนื้อแลกระดูกสันหลัง จึงให้ผอมแห้งซูบไป
ถ้าจะแก้ให้แต่งยาน้ำมันทาแก้
ยา น้ำมันแก้พยาธิแก้เส้น ขนานนี้เอาน้ำบุก ๑ ทนาน น้ำกลอย ๑ ทนาน น้ำมันงา ๑ ทนาน น้ำมูตร์โคดำ ๔ ทนาน หุงให้คงแต่น้ำมัน แล้วจึงเอาเมล็ดในสลอด ๑ บาท ขิงแห้ง ๑ บาท ดีปลี ๒ บาท ยา ๓ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ แล้วจึงปรุงลงในน้ำมันไว้ทาพยาธิ แล้วให้นวดเส้นเอ็นแลกระดูกอันเมื่อยล้าแลง่อยเปลี้ยแล้วจึงแต่งยาอันชื่อ ว่าพิศดาละลายสุราให้กินต่อไป ตัวพยาธินั้นจึงตกสิ้น
ยา น้ำมันแก้พยาธิแก้เส้น ขนานนี้เอาน้ำบุก ๑ ทนาน น้ำกลอย ๑ ทนาน น้ำมันงา ๑ ทนาน น้ำมูตร์โคดำ ๔ ทนาน หุงให้คงแต่น้ำมัน แล้วจึงเอาเมล็ดในสลอด ๑ บาท ขิงแห้ง ๑ บาท ดีปลี ๒ บาท ยา ๓ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ แล้วจึงปรุงลงในน้ำมันไว้ทาพยาธิ แล้วให้นวดเส้นเอ็นแลกระดูกอันเมื่อยล้าแลง่อยเปลี้ยแล้วจึงแต่งยาอันชื่อ ว่าพิศดาละลายสุราให้กินต่อไป ตัวพยาธินั้นจึงตกสิ้น
ยา ต้มแก้พยาธิให้ตก เอารากลั่นทม ๑ รากเล็บมือนาง ๑ รากสะแก ๑
ขมิ้นอ้อย ๑ เชือกเถาคัน ๑ เบ็ญจมะดัน ๑ รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑
กินแก้ตัวพยาธิแก้ไส้เดือนตกสิ้น ถ้าแลรุถ่ายลงจนหมดโทษร้ายแล้ว
อันว่าลมที่กลิ้งขึ้นกลิ้งลงแลลั่นอยู่ในท้องที่เป็นป้างเป็นคลื่นดุจดัง
ลูกฟูกนั้นก็หาย ถ้าไม่หายท่านให้แต่งยาอันชื่อว่าอินทจักร์นั้นให้กินต่อไป
ถ้ามิฟังยาอันใดแล้ว ท่านให้แต่งยาอันชื่อว่าไฟอาวุธนั้นให้กินต่อไป
ยาชื่อไฟอาวุธขนาน นี้ เอาผลจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ กระวาน ๑
กานพลู ๑ โกฐทั้ง ๕ เทียนทั้ง ๕ ชะเอมเทศ ๑ กันชา ๑ แก่นแสมทะเล ๑ เอาสิ่งละ ๑
ส่วน อุตพิด ๑ เปลือกสมุลแว้ง ๑ ดีปลี ๑ ใบพิมเสน ๑ เอาสิ่งละ ๒ ส่วน รากจิงจ้อ ๑
รากส้มกุ้ง ๑ รากเปล้าน้อย ๑ รากเปล้าใหญ่ ๑ รากสะค้าน ๑ รากพาชไหน ๑ เอาสิ่งละ ๓
ส่วน สหัศคุณเทศ ๔ ส่วน บุกรอ ๙ ส่วน พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ รากเจตมูล ๑ เอาสิ่งละ
๑๖ ส่วน รวมยา ๓๒ สิ่งนี้ทำเป็นจุณ เอาน้ำมะนาวเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ กินแก้ทราง ๗
จำพวก แก้ตานโจรทั้ง ๑๒ จำพวก แก้หืดน้ำนมทั้ง ๗ จำพวก
แก้ไอผอมเหลืองแลแก้ไส้พองท้องใหญ่ แก้พุงโรแลลม จุกเสียด แลแก้ป้าง
แก้ม้ามแก้ดานเสมหะให้ปวดมวนเสียดแทง
แก้อุจจาระเป็นเสมหะโลหิตระคนกันมักให้ถอยกำลัง
มักให้เป็นไข้ไม่รู้สึกตัวให้ลงเป็นโลหิต แก้ไข้เพื่อเสมหะเพื่อลม
ยาชื่อตรีผลาทุเลา ขนานนี้เอา พิมเสน ๑ สมอไทย ๑ สมอพิเภก ๑
เทียนดำ ๑ เทียนแดง ๑ เทียนเยาวภานี ๑ ผลโหระพา ๑ เอาสิ่งละ ๒ ส่วน ไพล ๔ ส่วน
ผลมะขามป้อม ๑๒ ส่วน ฝักราชพฤกษ์เอาแต่เนื้อเท่ายาทั้งหลาย รวมยา ๑๐
สิ่งนี้ทำเป็นจุณบดทำเป็นเม็ดไว้เท่าเมล็ดพริกไทย ละลายสุรากิน ๑ เม็ด ลง ๑ หน
สำหรับถ่ายกุมารอ่อน
ยาต้มชื่อปราบพระนคร ขนานนี้เอาเบ็ญจมะไฟ ๑ รากตานหม่อน ๑
รากตานเสี้ยน ๑ รากต่อไส้ ๑ รากตะขบ ๑ รากก้างปลาแดง ๑ รากตะโก ๑ รากสะแก ๑
หญ้าใต้ใบ ๑ รวมยา ๑๓ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ตกมูกตกเลือด
แลแก้ทั้งนั่งหลับตากัดเล็บอยู่ก็ดีหายสิ้น
ยา ต้มแก้ตานโจรขึ้นในตาให้ตาฟาง ขนานนี้ท่านให้เอา เบ็ญจกระเพรา ๑
กระพังโหมทั้ง ๒ ไพล ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ บระเพ็ด ๑ เบ็ญจหญ้างวงช้าง ๑ เบ็ญจถอบแถบ ๑
ฝักส้มป่อย ๑ รากอัญชันขาว ๑ หัวหญ้าชันกาด ๑ ตรีกระฏุก ๑ หัวหอม ๕ หัว ผลขี้กา ๓
ผล มะกรูด ๓ ผล รวมยา ๑๗ สิ่งนี้ ต้มกินแก้ตานโจรขึ้นตา แลเป็นต้อให้ตาฟางก็ดี
ยาขนานนี้ตัดรากภายในหาย
ยา หยอดตาแก้ตานโจรขึ้นตา ขนานนี้เอา เบ็ญจผักบุ้ง ๑ สังข์ ๑ ดินถนำ
๑ รวมยา ๓ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งไว้ฝนด้วยน้ำเถาตำลึงหยอดตา
ยา นัดถุ์แก้ตานโจร ขนานนี้เอาเทพทาโร ๑ หว้านน้ำ ๑ จันทนฺทั้ง ๒
กฤษณา ๑ ชะเอมเทศ ๑ ลิ้นทะเล ๑ ชะมด ๑ พิมเสน ๑ รวมยา ๙
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ นัดถุ์แก้กุมารตามืดตาฟาง
ยา พอกสะดือแก้ต้อตานโจร ขนานนี้เอาดอกพิกุล ๑ ดอกกระดังงา ๑ หัวหอม
๑ ดินประสิวขาว ๑ ใบทรงบาดาน ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดพอกสะดือแก้ตากุมารเป็นต้อแลตามืดตาฟาง
ยา ต้มแก้นิ่วตานโจร ขนานนี้เอาหญ้าชันกาด ๑ แห้วหมู ๑ ไพล ๑
ไคร้หางนาค ๑ ยาเข้าเย็น ๑ รากกระทุงหมาบ้า ๑ เถาวัลย์เปรียง ๑ รากหญ้านาง ๑ รวมยา
๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ต้ม ๓ เอา ๑ กิน
ยาพอก หัวเหน่าแก้ขัดเบา ขนานนี้เอาใบน้ำเต้า ๑ ผลสวาด ๑
บดด้วยน้ำซาวเข้าพอกหัวเหน่าให้เบาออก
ขนานหนึ่งเอาหัวปลาทูแห้งฝนด้วยน้ำมะนาว พอกหัวเหน่าเบาตกดุจกัน
ยาต้มแก้เบาเป็นโลหิตตานโจร เอาใบคนทา ๑ นมตำเรีย ๑ รากกำจาย ๑
เปลือกไม้แดง ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย
ขนานหนี่งท่านให้เอา สารส้ม ๑ แก่นสน ๑ ต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย
ขนาน หนึ่งท่านให้เอา เบี้ยผู้ ๓ เบี้ย สังข์ ๔ บาท
แช่น้ำมะนาวไว้คืน ๑ จึงเอายอดขี้เหล็ก ๗ ยอด ลนไฟพอตายนึ่ง พริกไทย ๘ เมล็ด ขิง ๗
ชิ้น กระเทียม ๗ กลีบ บดด้วยน้ำมะนาวกิน
ยา ต้มแก้ตานโจร ขนานนี้เอายอดขี้เหล็ก ๑ รากอ้อยแดง ๑ รากหญ้าคา ๑
น้ำแกลบต้มเอาหัวกระทือแช่ผึ่งแดดผึ่งน้ำค้างไว้วันกับคืนหนึ่ง จึงเอาสุราหยัด
ลงกิน
ยาต้มแก้นิ่วตานโจร อายุกุมารได้ ๑๐ ขวบ เอายอดละมุดสีดา ๗ ยอด
ยอดลำเจียก ๗ ยอด ต้ม ๓ เอา ๑ กิน
ยาแก้นิ่วอายุกุมารได้ ๑๒ ขวบ เอาด่างสะแก ๑ น้ำผลแตงกวา ๑ ขันทศกร ๑
ดินประสิวขาว ๑ คุลีการ เข้าด้วยกันกิน
พระ อาจารย์เจ้ากล่าวมาแต่ในลักษณะกำหนดทรางแลทรางจร
กำหนดกำลังไข้ทั้ง ๗ จำพวก แลสิ้นกำหนดทรางเจ้าเรือนทรางจร แลกิมิชาติ ๘๐ จำพวก
แลตานโจรเกิดเพื่อพยาธิ ๑๖ จำพวก อันจะให้บังเกิดเป็นตานโจรขึ้นนั้น
จบบริบูรณ์แต่เพียงนี้
พระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๖ ลักษณะตานโจรว่าด้วยธาตุกำเนิด, ธาตุบรรจบ, ธาตุพิการ, ธาตุแตก, ธาตุอติสาร, บริบูรณ์โดยสังเขปดังนี้
อยํ กาโย ธาตุเหตุโก อยํ กาโย ธาตุนิทาโน อยํ กาโย อาหารเหตุโก อยํ
กาโย ธาตุนิทาโน ติณ์ณํ อุตูนํ ทวา ทสาการํ อสิ
อัน ว่าลักษณะตานโจรอีก ๗ จำพวก อันบังเกิดขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔ นั้น
ต้องด้วยวาระพระบาฬีดังนี้
โดยอธิบายว่าเมื่อแรกสัตว์จะมาเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่งมารดานั้น
เมื่อมารดามีครรภ์ตั้งขึ้นในฤดูอันใดในธาตุอันใด
ก็เอาธาตุอันนั้นเป็นที่ตั้งแห่งกุมารกุมารีนั้นเป็นอาทิ
ถ้า แลสัตรีใดมีครรภ์ในเดือน ๕ เดือน ๖ เดือน ๗ ทั้ง ๓
เดือนนี้เป็นลักษณะแห่งเตโชธาตุ อันว่ากุมารกุมารีผู้นั้นเมื่อตั้งเป็นปัญจสาขา
แลมีอาการ ๓๒ พร้อมบริบูรณ์แล้วเมื่อใด จึงตั้งธาตุไฟขึ้นก่อนเป็นต้นแห่งธาตุบรรจบ
ถ้า แลสัตรีใดมีครรภ์ในเดือน ๘ เดือน ๙ เดือน ๑๐ ทั้ง ๓
เดือนนี้เป็นลักษณะแห่งวาโยธาตุ อันว่ากุมารกุมารีนั้นเมื่อตั้งมูลปฏิสนธิ
พร้อมด้วยทวดึงษาการ บริบูรณ์แล้วเมื่อใด จึงตั้งธาตุลมก่อนเป็นต้น
จึงบรรจบกับธาตุแห่งมารดา
ถ้า แลสัตรีใดมีครรภ์ในเดือน ๑๑ เดือน ๑๒ เดือน ๑ ทั้ง ๓ เดือนนี้
เป็นลักษณะแห่งอาโปธาตุ เมื่อกุมารกุมารีผู้นั้นตั้งมูลปฏิสนธิพร้อมด้วยอาการ ๓๒
แล้ว จึงตั้งธาตุน้ำก่อนเป็นต้น จึงบรรจบเข้ากับธาตุแห่งมารดานั้น
ถ้า แลสัตรีใดมีครรภ์ในเดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ ทั้ง ๓
เดือนนี้เป็นลักษณะแห่งปถวีธาตุ เมื่อกุมารกุมารีผู้นั้น
ตั้งมูลปฏิสนธิพร้อมด้วยอาการ ๓๒ แล้ว จึงตั้งธาตุดินก่อนเป็นต้น
จึงบรรจบเข้ากับธาตุแห่งมารดานั้น
สุดแต่มารดานั้นเมื่อแรกมีครรภ์ในฤดูอันใดในธาตุอันใด
ธาตุอันนั้นแลฤดูอันนั้นก็เป็นที่ตั้งแห่งผู้นั้น
ติดตัวมาตราบเท่าจนกุมารแลกุมารีผู้นั้นคลอดจากครรภ์แห่งมารดา จนอายุได้ ๕ ขวบ ๖
ขวบ ดังนี้ ในเมื่ออายุกุมารแลกุมารีผู้นั้นได้ ๕ ขวบ ๖ ขวบ
สิ้นกำหนดแห่งตานทรางแล้ว จึงบังเกิดตานโจรขึ้นต่างๆ ถ้าแพทย์วางยาขนานใดๆมิฟัง
ท่านให้ดูในพระคัมภีร์ธาตุบรรจบนี้ ให้แก้ตามธาตุกำเนิดนั้นด้วย
พระอาจารย์เจ้าท่านผ่อนเป็น ๔ กองไว้ให้แพทย์ผู้มีปัญญาพึงพิจารณาดูเถิด
ถ้า จะแก้เตโชธาตุกำเนิด เอาดีปลี ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ หว้านเปราะ
๑ แห้วหมู ๑ รวมยา ๕
สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดปั้นแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกินเสียก่อน
แล้วจึงแก้ด้วยยาทั้งปวงต่อไป
ถ้า จะแก้วาโยธาตุกำเนิด เอาพริกไทย ๑ เทียนเยาวภานี ๑ ผลผักชี ๑
เปลือกโมกมัน ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกินเสียก่อน แล้วจึงแก้ด้วยยาทั้งปวงต่อไป
ถ้า จะแก้อาโปธาตุกำเนิด เอาราเจ็ตมูลเพลิง ๑ เทียนเยาวภานี ๑
ผลผักชี ๑ เปลือกโมกมัน ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ
บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกินเสียก่อน แล้วจึงแก้ด้วยยาทั้งปวงต่อไป
ถ้า จะแก้ปถวีธาตุกำเนิด เอากระเทียม ๑ ใบสะเดา ๑ ใบคนทีสอ ๑ แก่นสน
๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกินเสียก่อน
แล้วจึงแก้ด้วยยาทั้งปวงต่อไป
ลักษณะ เตโชธาตุพิการนั้น
คือให้ท้องขึ้นท้องเฟ้อแล้วให้ผะอืดผะอมอัดอกอัดใจ มักให้หายใจอึดๆประการหนึ่ง
ให้บวมมือบวมเท้าแลให้ไอเป็นกำลัง ถ้าแลอาการเป็นดังนี้ แก้มิฟัง
กุมารแลกุมารีผู้นั้นกำหนด ๘ วันจะตาย
ยา แก้เตโชธาตุพิการ ขนานนี้เอา รากเจ็ตมูลเพลิง ๑ รากมะแว้งทั้ง ๒
รากผักขวง ๑ บระเพ็ด ๑ ก้านสะเดา ๑ รากช้าพลู ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา
๑ กิน ถ้าไม่หายให้เอายาเตโชธาตุแห่งมารดานั้นเติมเข้าด้วย เอาผักแพวแดง ๑ โกฐเขมา
๑ อบเชยเทศ ๑ ผลมะขามป้อม ๑ ไคร้ต้น ๑ หว้านเปราะ ๑ รากสวาด ๑ หญ้ารังกา ๑ รวมยา ๘
สิ่งนี้เอาเสมอภาคบรรจบเข้า กับยาเดิมเป็นขนานเดียวกันต้ม ๓ เอา ๑ ให้กิน
ถ้าจะทำแท่งเอาน้ำร้อนเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำนมโคก็ได้ น้ำนมคนก็ได้
ถ้าหาน้ำนมไม่ได้ ใช้น้ำร้อนเป็นกระสายกิน
ลักษณะ วาโยธาตุพิการนั้น คือให้หูตึงเป็นน้ำหนวกไหล เหม็นเน่า
แลให้ตาฟาง เมื่อเอามือกดที่หัวตาไม่มีแสง
ให้เมื่อยมือเมื่อยเท้าแลขาทั้งสองข้างดังผู้ใหญ่ ให้เป็นตะคริว แลจะโปง
ให้เมื่อยกระดูกสันหลัง แลฟก ขึ้นไม่รู้ก็ว่าเป็นฝีเอ็น
ให้อาเจียรบางทีให้อาเจียรลมเปล่า เมื่อยังมิได้บริโภคอาหารสิ่งใดๆ
มักให้เป็นลมท้องขึ้นให้จุก ให้ราก ให้เป็นต่างๆ
ทั้งนี้ก็เพราะวาโยธาตุพิการดุจกล่าวมานี้
ยา แก้วาโยธาตุพิการ ขนานนี้เอา โกฐก้านพร้าว ๑ เถาสะค้าน ๑
รากขัดมอน ๑ กะทกรก ๑ แห้วหมู ๑ แก่นสนเทศ ๑ สักขี ๑ ขิงแห้ง ๑ ใบมะกรูด ๑ ใบมะนาว
๑ รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑ ให้กินดูก่อน
ถ้ายังไม่หายจงเอาวาโยธาตุมารดานั้นเติมเข้าด้วย คือเอาเปลือกโมกมัน ๑
เปลือกโมกหลวง ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ รากสลอดน้ำ ๑ อำพัน ๑ แห้วหมู ๑ หญ้ารังกา ๑
ผักแพวแดง ๑ ผลสมอไทย ๑ รากไคร้เครือ ๑ รวมยา ๑๐
สิ่งนี้เอาเสมอภาคบรรจบกันเข้าเป็นขนานเดียว ทำเป็นจุณ
บดทำแท่งไว้ละลายน้ำมูตร์โคดำก็ได้ น้ำสุราก็ได้กิน
ถ้ายังไม่หายจงเอายาเดิมแก้วาโยธาตุนั้นตั้งไว้ แล้วจึงเอายานี้แซก เข้าอีก คือ
เอามหาหิงคุ์ ๑ หว้านน้ำ ๑ ดีปลี ๑ เมล็ดในสะบ้ามอญ ๑ ผลราชดัด ๑ ชะเอมเทศ ๑
โกฐเขมา ๑ ใบย่างทราย ๑ กรุงเขมา ๑ รวมยา ๙
สิ่งนี้เอาเสมอภาคบรรจบกันเข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียวกัน
ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกิน ถ้ายังไม่หาย จงเอายาเดิม นั้นตั้งไว้
แล้วจึงเอายานี้แซกเข้าอีก คือ เอารากเจ็ตมูลเพลิง ๑ ชะเอมเทศ ๑ รากจิงจ้อ ๑
รากตองแตก ๑ พริกไทยล่อน ๑ ขิงแห้ง ๑ ดีปลี ๑ อำพัน ๑ ใบหนาด ๑ ใบสลอด ๑
เอาเสมอภาคต้มด้วยน้ำเกลือผึ่งแดดให้แห้ง แล้วจึงใส่การะบูรส่วนเท่ากัน
บรรจบเข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียว ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนก็ได้
น้ำนมโคก็ได้ น้ำมูตร์ โคก็ได้ น้ำมูตร์เด็กชายก็ได้กิน
ถ้ายังมิฟังให้ยกยาทั้งนั้นออกเสีย แต่เอายาเดิมที่แก้วาโยธาตุนั้นตั้งไว้
แล้วจึงเอายานี้แซกเข้าอีก คือเอาผักเสี้ยนผี ๑ ใบผักเป็ดแดง ๑ ใบผักคราดหัวแหวน ๑
หญ้ารังกา ๑ ผลผักชีทั้ง ๒ เมล็ดพรรณผักกาด ๑ ดอกจงกลนี ๑ เถาสะค้าน ๑ เมล็ดแตงโม
๑ รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเสมอภาคบรรจบ เข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียวกัน
ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายสุรากินแก้วาโยธาตุอันพิการ แลกำเริบ
ดังกล่าวมาแล้วแต่หลัง
ลักษณะ อาโปธาตุพิการนั้น ให้ลงท้องให้จุกอกแลให้มือเท้าเย็น
ให้ไส้เป็นขดโค้งเป็นลูกอยู่ในท้อง บางทีให้ขัดอุจจาระปัสสาวะให้ขัดหัวเหน่า
บางทีให้ตกมูกเลือดปวดมวนให้เสียดราวข้าง ถ้าเป็นหญิงเสียดเข้าซ่าย
เป็นชายเสียดข้างขวา ถ้าแลอาการเป็นดังนี้รักษายากนัก
ยา แก้อาโปธาตุพิการ ขนานนี้เอาหว้านน้ำ ๑ เปล้าทั้ง ๒ รากปีบ ๑
รากไคร้น้ำ ๑ รากพลูกินกับหมาก ๑ รากจิงจ้อใหญ่ ๑ รากครอบจักรวาฬ ๑ รวมยา ๘
สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑ ให้กินเสียก่อน ถ้ามิฟังให้เอายาเดิมนั้นตั้งไว้
แล้วจึงเอายานี้แซกลง คือเอาผลผักชีล้อม ๑ อำพัน ๑ เปลือกโมกหลวง ๑ น้ำเต้าขม ๑
ผลกระดอม ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บรรจบเข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียวต้ม ๓ เอา ๑
ให้กิน ถ้ามิฟังจงเอายาเดิมนั้นตั้งไว้
แล้วเอายาแก้อาโปธาตุแห่งมารดานั้นแซกเข้าอีก คือเอารากจิ้งจ้อหลวง ๑ ตรีกระฏุก ๓
ผลราชดัด ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ กระพังโหมทั้ง ๒ หัวเข้าข้า ๑ รวมยา ๙
สิ่งนี้เอาเสมอภาคบรรจบเข้ากับยาเดิมทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำเชือกเถา
มวกให้กิน ถ้ามิฟังจงเอายาเดิมนั้นตั้งไว้ แล้วเอาผลมะขามป้อม ๑ ตรีกระฏุก ๓
ตรีผลา ๓ รากช้าพลู ๑ เถาสะค้าน ๑ ข่าแห้ง ๑ ผลจันทนฺ ๑ รวมยา ๑๑
สิ่งนี้เอาเสมอภาค บรรจบกันเข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียวทำเป็นจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำกล้วยตีบกินแก้อาโปธาตุพิการ
ลักษณะ ปถวีธาตุพิการนั้น คือให้เจ็บท้องเป็นกำลังกินอาหารมิได้
ให้ท้องขึ้นท้องเฟ้อดุจดังผู้ใหญ่เป็นริดสีดวง ให้ผอมเหลือง มักเสียดสันหลัง
ให้แปรไปเป็นองคสูตร์ ให้ตกบุพโพโลหิต ทางทวารหนักทวารเบา ถ้าแก้มิฟังใน ๕
วันกุมารกุมารีผู้นั้นจะตาย
ยา แก้ปถวีธาตุพิการ ขนานนี้เอา ดีปลี ๑ เทียนดำ ๑ สังกะระณี ๑
เปลือกสันพร้านางแอ ๑ ผลกระดอม ๑ หัวหญ้าชันกาด ๑ ยาดำ ๑ รากสมี ๑ ใบมะนาว ๓๓ ใบ
รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑ ให้กิน ถ้ามิฟังจงเอายาเดิมนั้นตั้งไว้
แล้วจึงเอายาแก้ปถวีธาตุแห่งมารดานั้นเติมเข้าอีก คือเอารากย่างทราย ๑ กระเทียม ๑
ดีปลี ๑ ผลมะตูมอ่อน ๑ รากมะแว้งทั้ง ๒ เถาสะค้าน ๑ ผักแพวแดง ๑ อำพัน ๑
เทียนสัตบุษย์ ๑ สมอไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ รวมยา ๑๒ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
บรรจบกันเข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียวต้ม ๓ เอา ๑ ให้กิน ถ้ามิฟังจงเอายาเดิมนั้น
ตั้งไว้แล้วจึงเอามหาหิงคุ์ ๑ หว้านน้ำ ๑ ตรีกระฏุก ๓ ตรีผลา ๓ รากงวนหมู ๑
โกฐชฎามังสี ๑ ไพล ๑ รากขัดมอน ๑ รวม ๑๒
สิ่งนี้เอาเสมอภาคบรรจบกันเข้ากับยาเดิมเป็นขนานเดียว
ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำนมโค, น้ำ นมคนก็ได้ให้กิน ถ้ามิฟังจงเอายาเดิมนั้นตั้งไว้
แล้วจึงเอากระพังโหมทั้ง ๒ บระเพ็ด ๑ รากมะแว้งทั้ง ๒ รากมูลกาแดง ๑ รากขัดมอนทั้ง
๒ เชือกเถาพรวน ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาค
บรรจบเข้าด้วยกันกับยาเดิมเป็นขนานเดียว ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้
ละลายน้ำจันทนฺก็ได้น้ำชะเอมก็ได้ ให้กินแก้ปถวีธาตุพิการ
อัน ว่าลักษณะธาตุทั้ง ๔ นี้
พระอาจารย์เจ้าท่านคัดออกมาแต่พระคัมภีร์ธาตุบรรจบ
เอามาไว้ในพระคัมภีร์ปฐมจินดานี้เป็นแต่ใจความพอสังเขป
ให้แพทย์พึงรู้จักลักษณะอันบังเกิดเป็นเพื่อธาตุทั้ง ๔ นั้น
อันว่าตานโจรจะบังเกิดด้วยสิ่งใดๆก็ดี
ก็เกิดเป็นเพื่อทรางเจ้าเรือนนั้นก่อนเป็นต้น เพราะว่าแพทย์รักษาหายมิขาด
จนอายุกุมารกุมารีผู้นั้นพ้นล้วงจากทรางเจ้าเรือนมา
จึงกลายแปรไปเป็นตานโจรดังกล่าวมานี้
ถ้าแพทย์ผู้ใดมิได้เรียนรู้ในพระคัมภีร์ปฐมจินดา พระคัมภีร์อภัยสันตา
ทั้งสองพระคัมภีร์นี้ให้สันทัดแลจะรักษาตานโจรนั้นไม่หายขาด จนอายุ ๓๐ ปี ๔๐ ปี แล้วก็จะกลายเป็นโรคริดสีดวงต่างๆ
ตามลักษณะแม่ทรางเจ้าเรือนแลทรางจร ดุจดังกล่าวมาแต่พระคัมภีร์อภัยสันตานั้น
มี คำปุจฉาว่าฉันใดจึงเรียกว่าตานโจร วิสัชนาว่าตานโจรนั้นมีลักษณะ
๑๖ ประการ คือกุมารกุมารีเกิดวันอาทิตย์ในท้องพระคัมภีร์ว่าทรางเพลิงเป็นเจ้าเรือน
ทรางกรายเป็นทรางจร หละชื่อว่าอุไทยกาฬประจำทรางเพลิง
กล่าวมาทั้งนี้ตามเรื่องในพระคัมภีร์ต้น
ในที่นี้จะว่าแต่ตานโจรคือวันอาทิตย์ทรางเพลิงเป็นเจ้าเรือน บางทีทรางกระแหนะโจรมา
บางทีทรางกระตังโจรมาจะว่าหละอันชื่ออุไทยกาฬ ประจำทรางเพลิงก็ไม่อยู่แต่เท่านั้น
บางทีหละชื่อนิลกาฬแซก บางทีหละชื่อแสงเพลิงแซก บางทีหละชื่อนิลเพลิงโจรมาแซก
จะว่าข้างละอองพระบาทชื่อเปลวไฟฟ้าประจำทรางเพลิงนั้นเล่า ก็ไม่อยู่แต่เท่านั้น
บางทีละอองแก้วมรกฎแซก บางทีละอองเพลิงแซก บางทีละอองทับทิมแซก
แลโรคนั้นสำแดงดังนี้ ถ้าแลแพทย์ผู้ใดมิได้รู้ในคัมภีร์พระปฐมจินดานี้ให้ชำนาญ
ย่อมฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก เหตุฉนี้พระอาจารย์เจ้า ท่านจึงสมมุติเรียกว่าตานโจร
เหตุว่าทรางนั้นลักเภท กันต่างๆมากกว่ามากพ้นที่จะพรรณาได้
กล่าวแต่ลักษณะทรางจำพวกเดียวนี้ก็พึงรู้เอาเถิด ย่อมเหมือนกันทุกๆทรางทั้ง ๗
จำพวกให้แพทย์พึงรู้ดังนี้
ปุ น จ ปรํ ลำดับนี้จะว่าด้วยตานโจรอันเกิดเพื่ออะติสาร ต่อไปดังนี้
(อาจาริเยน) อันพระอาจารย์เจ้านั้น (อาภตํ) นำเอามา (อติสารํ)
ซึ่งพระคัมภีร์อติสาร (อภาสิ) หากกล่าวไว้ (อันเตวาสิกํ)
ให้สานุศิษย์แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ (มรณํ) อันว่าความตาย (ทาร กานํ) แห่งทารกทั้งหลาย
(ติวิธํ) มีลักษณะ ๓ ประการ (โทสวิค์คหํ) อันจะสงเคราะห์ซึ่งโทษ (อติสารํว)
ประดุจดังโทษอติสาร (มรณํ) อันสำแดงซึ่งความตาย (ทารกานํ)
แก่ทารกทั้งหลาย (วิสุจิกา) คือว่าด้วยมูตร์แลคูธ อันพิการต่างๆ (ภเวย์ย ม่อ ภเว)
ก็พึงมีแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกย์นี้ (อิติ ม่อ อิมินา ปกาเรน) ด้วยประการดังนี้
โดย อธิบายว่า โทษอสุจิ มี ๑๑ ประการ แต่ประการ ๑ ท่านจัดเป็น ๓
จึงเป็น ๓๓ ด้วยกัน จึงเป็นอติสารวัตรก็ดีแลตรีโทษ ดุจกันคือบุสธาตุ ๑ ปัจฉันธาตุ
๑ รัตนธาตุ ๑ ปัสฺสธาตุ ๑ มุสกายธาตุ ๑ กาฬธาตุ ๑ ปถวีธาตุ ๑ อาโปธาตุ ๑ วาโยธาตุ
๑ เตโชธาตุ ๑ อากาศธาตุ ๑ เป็น ๑๑ ด้วยกันจึงเรียกว่าธาตุบรรจบด้วยประการดังนี้
พระ อาจารย์เจ้าท่านกล่าวบทต้นว่าด้วย อมุสกายธาตุ
(บางฉบับว่าอมูลธาตุ) มีโทษ ๓ ประการ
มีอยู่ในพระคัมภีร์สารสงเคราะห์ว่าด้วยเตโชธาตุ อันชื่อว่าปริทัยหัคคี
สำหรับเผาอาหารให้ย่อยจึงให้ผะอืดผะอมแล้วให้ลงไป จะนับเวลามิได้
ครั้นสิ้นอาหารแล้วก็ให้ลงเป็นน้ำล้างเนื้อ เหม็นคาวดังตะพาบน้ำแล้วให้จุกเสียด
ให้ระหายน้ำ เป็นกำลัง ให้คอแห้งถึงทรวงอกแล้วให้ปากแห้งฟันแห้ง
เหตุว่าไฟธาตุกำเริบแรงขึ้นสู่เพดาลุนั้นกล้านักน้ำเขฬะ ก็แห้งไป
อันว่าน้ำเขฬะนั้นคือน้ำเกรอะแห่งอาหารที่ขึ้นสู่เพดาลุนั้น อุปมาดังต้มสุรา
อันว่าเหงื่อแห่งอาหารก็เกรอะออกไปปลายลิ้นแลฟันก็ตกลงเป็นน้ำเขฬะ
ถ้าแลบุคคลจะสิ้นอายุแล้ว เตโชธาตุก็ออกจากตัวมีอุปมาดังบุคคลหุงเข้า
แลใส่ไฟกล้าเหลือกำลังนักหม้อนั้นก็พลุ่งขึ้นไป น้ำก็ล้นลงดับไฟเสียเอง อันว่าเหงื่อแห่งอาหารนั้นก็แห้งไป
เพราะเหตุดังนั้นจึงให้คอแห้งฟันแห้งปากแห้ง ถ้าเป็นดังนี้ท่านให้เอามือล้วงคอดู
ถ้าในคอเย็นเฉียบเป็นอาการ ตัดจะมรณะในวันนั้นเป็นเที่ยง แพทย์อย่าพึงสงไสยเลย
อันว่าลักษณะเพลิงธาตุอันชื่อว่า “อสิตาชิวจาวค” นั้น ย่อมให้บวม (บางฉบับว่าบอบ)
ทั้งตัวแล้วให้ลงเป็นสีเขียวสีดำ ท่านกำหนดไว้ ๓ วัน ผู้นั้นจะมรณะ
อันว่าลักษณะปฉันธาตุนั้น ถ้าเกิดแก่ผู้ใดย่อมให้ลงเป็นน้ำชานหมาก แลน้ำแตงโม
ท่านกำหนดไว้ ๗ วัน ผู้นั้นจะมรณะ อันว่า ลักษณะลมอันชื่อว่า “กุจฺฉิสยาวาตา” นั้น คือ ลมพัดอยู่ในไส้ ถ้าออกจากตัวแล้วเมื่อใดก็กระทำให้เป็นต่างๆ
ลมธาตุจำพวกนี้มักให้ลงจะนับเวลามิได้ ครั้นจะปิดเข้าไว้ก็มิได้
ครั้นจะให้ลงไปนักก็มิได้ ถ้าจะให้ลงไปแล้วจะให้จุกให้แดก
ประการหนึ่งจะให้แน่นอยู่ในลำคอ กินเข้ากินนมแลกินยาก็มิได้ เพราะให้ราก
อยู่เป็นกำลังแล้วให้น้ำลายเหนียว ท่านจึงกำหนดไว้ว่าถ้าแลเขฬะเหนียวเข้าเมื่อใด
ผู้นั้นจะมรณะเป็นเที่ยง
อันว่าลักษณะปถวีธาตุออกจากตัวนั้น
ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์สารสงเคราะห์โน้นแล้ว ว่าด้วยธาตุดิน ๒๐ คือ ผม, ขน, เล็บ,
ฟัน, หนัง, เนื้อ,
เอ็น, กระดูก, สมองกระดูก,
ม้าม, หัวใจ, ตับ,
พังผืด, พุง, ปอด,
ไส้น้อย, ไส้ใหญ่, อาหารเก่า,
อาหารใหม่, สมองศีร์ษะ, ซึ่ง
ว่ามาทั้งนี้แต่ล้วนเป็นปถวีธาตุสิ้นทั้งนั้น ถ้าจะใคร่รู้ว่าดินอันใดออกจากตัว
ท่านกล่าวไว้ในพระคัมภีร์นี้ว่า ธาตุออกจากตัวเป็นธรรมดานั้นมีอยู่ ๔ ประการ คือ
เอ็นประการหนึ่ง อาหารเก่าอาหารใหม่ประการหนึ่ง กระดูกประการหนึ่ง
เนื้อประการหนึ่งเป็น ๔ ประการด้วยกันดังนี้
ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะเป็นไข้สักเท่าใดๆก็ดี อาหารเก่าจะได้สิ้นไปมามิได้
ถ้าจะสิ้นอายุแห่งบุคคลผู้นั้นแล้วก็ให้ลงไปจะนับเวลามิได้
จนสิ้นอาหารเก่าอาหารใหม่แล้ว อุจจาระวิปริตเป็นไปต่างๆ บางทีก็ให้เป็นเสมหะโลหิตเน่า
บางทีก็เป็นมูลหนู เพราะโรคกันเอายาไว้มิให้ซึมซาบไปได้ ลมแลเสมหะจึงกลัดเข้า
เป็นมูลหนู แลเสมหะหุ้มห่อออกมาบ้าง บางทีให้อุจจาระเขียวดังใบไม้ออกมาบ้าง
ท่านว่าเป็นด้วยดีล้นออกจากเบ้า ในเมื่อสิ้นอาหารเก่าในกระเพาะเข้าแล้ว
ก็ไหลออกมาดังน้ำขมิ้นสด บ้าง ดังสีใบไม้ บ้าง คนสมมุติว่ามูลเทา
เมื่อบุคคลผู้ใดเป็นดังนี้ ถ้าพระอินทราธิราช มาชุบขึ้นจึงจะรอดชีวิตร
อนึ่ง บุคคลผู้ใดถ้าดีล้นจากเบ้าก็ดีแตกออกก็ดี
ถ้าแพทย์ผู้ใดจักใคร่รู้ ว่าดีแตกหรือดีล้นจากเบ้า
ถ้าดีล้นให้ลงเหลืองดังน้ำขมิ้นสดออกมา แล้วให้หน้าเหลือง ตาเหลือง ผมเหลือง
แพทย์มิรู้ว่ากาฬสิงคลี ให้สำคัญเอาแต่ที่ลงกับให้คนไข้หาสติมิได้
ให้บ่นเพ้อเจรจาด้วยผี คนสมมุติว่ากระสือ เข้าสิงอยู่
ถ้าแพทย์จะรักษาให้ยาจงดีจึงจะรอด แต่ว่าตายบ้างหายบ้าง ถ้าดีแตกแล้วไม่หายเลย
จึงมีคำปุจฉาว่า เหตุดังฤา ดีจะแตกจะล้นออกจากเบ้า
พระอาจารย์เจ้าผู้รู้แท้จึงวิสัชนาว่า มีเหตุ ๔ ประการ คือว่า กาฬ
ผุดขึ้นในดีประการ ๑ เป็นไข้เพื่อพิษต่างๆประการ ๑ เป็นไข้เพื่อทรางประการ ๑
เป็นเหตุด้วยท่านทุบถองโบยตีแลตกจากที่สูงประการ ๑ เป็น ๔ ประการด้วยกันดังนี้
ตับแลดีจึงแตก
ลักษณะ ดีล้นนั้นเล่า คือเพลิงธาตุแตกกำเริบก็ดี สรรพพิษสิ่งใดๆก็ดี
อันร้อนกล้าพ้นประมาณนักดีก็ล้นจากเบ้า มีอุปมาดังหุงเข้าใส่ไฟกล้านัก
น้ำในหม้อก็เดือดล้นลงมา อันไฟก็ดับไปเอง ตัวเองก็ทำลายซึ่งตัวเอง
ผู้นั้นก็ถึงแก่มรณะภาพเป็นอันเที่ยง “เสมหกิงการณาติ” จึงมีคำปุจฉาว่า
“โภอาจาริย” ข้า
แต่พระอาจารย์เจ้าเป็นดังฤา เป็นสมุฏฐาน มีมากน้อยเท่าใด แลจะตายด้วยเหตุอันใด
พระอาจารย์เจ้าผู้รู้เที่ยงแท้จึงวิสัชนาว่า ดูกรท่านทั้งหลาย
อันว่าเสมหะสมุฏฐานนั้นคืออาโปธาตุมี ๑๒ ประการ แลธาตุแต่ละธาตุๆ
คิดแต่บรรดาธาตุน้ำทั้งสิ้นเป็น ๑๐๘ ประการด้วยกัน ท่านยกเอาแต่เสมหะๆ มีโทษถึง ๑๒
ประการ ยกเอาแต่ ๓ ประการ คือเสมหะอยู่ในคอประการ ๑ เสมหะอยู่ในทรวงอกประการ ๑
เสมหะอยู่ในทวารหนักประการ ๑ เป็น ๓ ประการด้วยกันดังนี้ อันว่าเสมหะอยู่ในคอนั้น
ย่อมถอยขึ้นถอยลง ต่อเมื่อใดป่วยให้ไอให้รากก็ดีเสมหะนั้นจึงออก เสมหะอันตั้งอยู่ที่คอนั้นหนาประมาณ
๗ นิ้วเต็มเป็นแผ่นอยู่ เป็นธรรมดาแห่งสัตว์อันอยู่เป็นปรกติ
ถ้ารับประทานอาหารสิ่งใดๆลงไป เสมหะนั้นจึงเบิกออก อาหารจึงได้เลื่อนลงไป
ครั้นอาหารเลื่อนลงไปแล้ว เสมหะนั้นก็กลัดเข้าดังเก่า มีอุปมาดังแหน
อันลอยอยู่เหนือหลังน้ำ แลมีผู้เอากระเบื้องหรือศิลาทิ้งลง แหนนั้นแหวกออก
แล้วก็กลัดเข้า ดุจดังเก่า มีอุปมาฉนั้น
อัน ลักษณะเสมหะที่ตั้งอยู่ในทรวงอกนั้น
ต่อเมื่อใดมีไข้เพื่อเตโชแลวาโยธาตุกล้ากว่าอาโปธาตุ พันเสมหะให้ข้นเข้าได้แล้ว
ก็ตั้งแข็งลงไปตามยอดอก พ้นลงไป ๒, ๓, ๔, ๕,
นิ้ว ก็ดี แลทำให้จับเป็นเวลา ดุจเป็นป้างแลม้าม
แล้วให้สีหน้าแลตัวเหลืองอุจจาระปัสสาวะก็เหลือง ดุจไข้กาสิงคลี
ถ้าแลแก้มิฟังก็จะกลายเป็นมารกระไษย มักให้ลงเป็นมูกเลือด
แลเสมหะเน่าออกมาแล้วจะให้ท้องใหญ่ดุจดังท้องมาร รักษายากนัก
ถ้าวางยาชอบจึงจะได้บ้างเสียบ้าง ถ้าวางยาผิดไม่ได้เลยถ่ายเดียว
อัน ว่าเสมหะอยู่ในทวารหนักนั้น คือโลหิตแลน้ำเหลืองต่อเมื่อใดไข้ลง
โลหิตแลน้ำเหลืองก็ตกออกมาจากทวารหนักดุจดังน้ำล้างเนื้อแลน้ำชานหมาก
เหม็นดุจกลิ่นอศุภ แล้วให้ปวดมวนให้เป็นลมท้องขึ้นปะอยู่ที่น่าอกให้แน่น
จึงให้อาเจียรลมเปล่าให้ตัดอาหาร ให้เหม็นเข้า
ลุกขึ้นให้ลมจับตามืดให้ชักเท้ากำมือกำตาช้อนขึ้น
ถ้าอาหารพร้อมดังกล่าวมานี้แล้วเมื่อใด ท่านว่าเป็นกรรมของผู้นั้น
จึงมีคำปุจฉาว่าข้าแต่พระอาจารย์เจ้า ซึ่งกล่าวมาด้วยมูตร์แลคูธมีอยู่กี่จำพวก
ที่จะถึงแก้อติสารนั้นเป็นดังฤา พระอาจารย์เจ้าวิสัชนาว่า บุคคลทั้งหลายจะตายด้วยอติสารนั้นมี
๑๑ ประการ อันกล่าวไว้ในคัมภีร์อติสารโน้นแล้ว ในที่นี้จะว่าพอเป็นใจความสังเขป
ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ อันว่าไข้อติสารนี้มี ๑๑ ประการ แต่ท่านคัดออกเป็น ๒ ฐานๆ
หนึ่งเป็นปัจจุบันกรรม ฐานหนึ่งเป็นโบราณกรรม ที่เป็นปัจจุบันกรรมนั้นคือ อติสาร ๖
ประการนี้พอจะเยียวยาได้บ้าง ถ้าแลอติสาร ๕ ประการนี้เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใดแล้ว
จะแก้ บ มิได้เลย ในที่นี้กล่าวไว้แต่อติสาร ๕ ประการ
พอจะให้แพทย์รู้จักลักษณะที่จะเสียนั้นพอเป็นสังเขปด้วยอติสาร ๕
ประการนี้เจือไปในธาตุทั้ง ๔ ถ้าบุคคลผู้ใดเป็นไข้แลฝีก็ดี ถ้าเกิดกาฬขึ้นในอกทั้ง
๕ ประการนี้ก็ดี คือกาฬฝีมีพิษประการ ๑ กาฬพิษประการ ๑ กาฬสิงคลีมีพิษประการ ๑
กาฬสูตรประการ ๑ กาฬมุดประการ ๑ เป็น ๕ ประการด้วยกันดังนี้
ถ้าเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใดแล้วเหมือนพระยามัจจุราชมาถึงบุคคลผู้นั้นจะเยียว
ยามิได้เลย
อัน ว่าลักษณะกาฬฝีมีพิษนั้นคือ กาฬตั้งในหัวตับให้ตับหย่อน
ถ้ากินถึงชายตับแล้วก็ให้ตกโลหิตสดๆออกมาก่อน ครั้นถูกยาเข้าค่อยหยุดไป ๔ วัน ๕
วัน แล้วก็กลับกระทำให้ตกมูกเลือดอยู่ ๒, ๓, วัน
ก็ให้เป็นเสมหะโลหิตเน่า ให้ปวดมวนแล้วทำพิษให้ปะทะอกขึ้นมา ให้อาเจียรลมเปล่า ๒
ชั้น ๓ ชั้น ครั้นสอึกคลายแล้วกลับกระทำให้ลง ครั้นแก้ลงหยุดแล้วกลับให้สอึก
แล้วผุดขึ้นทั้งตัวดังปานดำปานแดงแลให้ร้อนทุรนทุราย
กระทำให้เป็นต่างๆเมื่อจะตายนั้น ให้ลงเป็นโลหิตสดๆออกมา วัน ๑ กับคืน ๑ ก็ตาย
อัน ว่าลักษณะกาฬพิษนั้น มีอาการกระทำให้ลงดังน้ำล้างเนื้อแลน้ำเหลือง
เหม็นดังซากอศุภอันเน่าโทรม แลให้หอบระหายน้ำเป็นกำลัง
ให้กลุ้มอกกลุ้มใจดุจคนพิกลจริต เพราะว่ากาฬนั้นจับเอาหัวใจหัวตับ
ถ้าบุคคลผู้ใดเป็นดังนี้ ร้อยคนจะรอดสักคนหนึ่งก็เป็นอันยาก
อันว่าลักษณะกาฬสิงคลีนั้น คือกาฬตั้งขึ้นที่หัวดี
จึงกระทำให้ดีล้นดีแตก แล้วให้หน้า, ตา, ตัว, มือ, เท้า, เหลือง, ทั้ง อุจจาระปัสสาวะก็เหลือง แลให้เหลืองทั้งกระดูก แล้วก็แปรไปเป็นต่างๆ
ถ้าอาการเกิดขึ้นเป็นดังนี้กำหนด ๓ วันผู้นั้นจะตาย
เมื่อจะตายนั้นให้ผุดลุกทลึ่งโจรไปก่อนจึงตาย
อัน ว่าลักษณะกาฬสูตร์นั้น มีโทษ ๓ ประการคืออยู่ดีๆ ก็ให้ลงดังน้ำครำ
ออกมาก่อน เหม็นดังกลิ่นดินปืน แล้วให้อยากน้ำเป็นกำลังนัก
ครั้นกินเข้าไปเหมือนกินยารุ ให้ลงหนักไปแล้วให้เวียนไปทั้งตัว
ให้เหงื่อออกดังเมล็ดเข้าโภชนฺ แลให้อาเจียรเป็นกำลัง จะแก้มิฟัง
เพราะว่ารับประทานยาลงไปมิได้ ให้ตกออกเสียทางทวารหนักให้ลง ฝ่ายลมสุนทรวาต
ก็พัดกล้าขึ้นให้แน่นในอกกดมิลงแล้วให้ท้องขึ้น
ถ้าลงหยุดเมื่อใดก็จะถึงแก่ความมรณะเมื่อนั้น
อัน ว่าลักษณะกาฬมุด นั้น คือกาฬเกิดขึ้นแต่หทัย ให้ลงไป ๔ เวลา ๕
เวลา หรือ ๙ เวลา ๑๐ เวลาก็ดี ลงเป็นโลหิตสดออกมาก่อนแล้วจึงลามมาถึงหัวตับ
แลหัวตับนั้นขาดออกมาเป็นลิ่มเป็นแท่งดำดังถ่านไฟ อุจจาระดังมูลเทาให้ระส่ำระสาย
บางทีให้เชื่อมมึนให้มือเย็นเท้าเย็น ให้เคลิบเคลิ้มหาสติมิได้
คนสมมุติว่าผีเข้าสิงอยู่นั้นหามิได้ คือไข้หมู่นี้เองกระทำดุจผีจะกละเข้าสิง
เพราะกาฬมุดเกิดแต่หัวใจลามกินมาถึงหัวตับให้ตกโลหิตแลตับจึงขาดออกมา
ถ้ากินถึงปอดให้หอบเป็นกำลัง ถ้ากินชายม้ามให้จับเป็นเวลาให้ระหายน้ำ
ถ้ากินถึงยอดอกแล้วเมื่อใด ลมอันชื่อว่า สุนทรวาตนั้นก็บังเกิดขึ้นสำหรับกัน
ครั้นเมื่อจะสิ้นอายุแล้วก็กลับพัดกล้าขึ้น จึงกระทำให้สอึกแลหายใจกระทบสอื้น
แผ่นเสมหะกำเนิดซึ่งตั้งอยู่ที่ยอดอุระ มาแต่เมื่อคลอดได้ ๗ วันนั้น
ก็กำเริบปะทะขึ้นไปกลัดที่ลำคอ จึงกระทำให้ตามืดหาแววตามิได้
ให้ตาแข็งนั่งก้มหน้าอยู่ มิได้แลดูหน้าคน ซึ่งแพทย์สมมุติว่าปีศาจ
กระสือเข้าสิงอยู่นั้นหามิได้เลย คือกำลังแห่งโรคนั้นหากกระทำเอง
อันว่าไข้กาฬมุดกินหัวใจ แลในตับดุจดังผีจะกละ จึงให้จิตรเสียไป
แล้วจึงให้เป็นต่างๆ อันว่ากาฬอติสารทั้ง ๕ ประการนี้บังเกิดขึ้นแก่ผู้ใด
อาไศรยเพราะเหตุผู้นั้นจะสิ้นอายุ ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้เถิด
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษากุมารแลกุมารีก็ดีผู้ใหญ่ก็ดี ถ้ามิได้เรียนพระคัมภีร์อติสาร, มรณะญาณสูตร์, ธาตุ บรรจบทั้ง ๓ คัมภีร์นี้
ประดุจหนึ่งบุคคลมีจักษุอันบอดมิได้เห็นความตายแห่งสัตว์ทั้งหลาย
หลับจักษุรักษาไปแล้วจะได้เสียก็มิได้รู้ ถึงว่าแม่นยำอยู่ในคัมภีร์โรคนิทาน,
ปฐมจินดา แลอภัยสันตาอยู่แล้วก็ดี
แต่ที่จะได้จะเสียนั้นถ้ามิได้รู้ก็เหมือนบุคคลอันมีจักษุบอด
ปุ น จ ปรํ ทีนี้จะว่าด้วยอุจจาระปัสสาวะแห่งกุมารแลกุมารี
มีอายุตั้งแต่ ๗ ขวบลงมาถึง ๓ เดือน จะเป็นวันใดแลทรางอันใดก็ไม่ว่า
ท่านว่าแต่ให้ดูเอาอุจจาระเป็นประธาน ถ้าแลอุจจาระนั้นพิการ อย่างไร
แลจะเป็นโทษอันใดๆก็ดี ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ลักษณะโดยสังเขปดังนี้
ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดอุจจาระเหลือง แลไม่รู้คุมกันเข้าได้
ท่านว่าเป็นป้าง , เป็นม้าม,
เป็น ดานเสมหะ ก็ว่า ถ้าแลผู้ใดเห็นแต่อุจจาระมิได้เห็นตัวคนไข้
ท่านให้ทายว่ากุมารแลกุมารีผู้นั้นเป็นไข้ตัวร้อน ให้จับเป็นเวลา
นานไปจะให้ชักเท้างอมือกำตาช้อนดูสูง ถ้าถึงกำหนด ๓ เดือนรักษายากนัก
ถ้ากุมารแลกุมารีผู้ใดอุจจาระขาวดังน้ำเข้าเช็ด
ท่านว่าพยาธิ์คือไส้เดือนกินอยู่ตามลำไส้ใหญ่นั้นประการ ๑
คือไส้เดือนอยู่ตามลำไส้ตามธรรมดามีอยู่ทุกตัวคนถึงไม่ไข้เจ็บอันใดก็มีอยู่
จนสิ้นอายุของผู้นั้นดุจดังนี้
อัน ว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อกะระ มีโทษให้ลงท้อง
อุจจาระขาวดุจดังดินสอพอง ครั้นวางยาถูกแล้วก็หยุดไปให้พรึงขึ้นทั้งตัวดังยอดผด
แล้วให้ตาฟางแลตาเป็นเกล็ดกะดี่ มักชอบกินเกลือกินกะปิ อันว่าไส้เดือนจำพวกนี้
บังเกิดขึ้นเป็นอุปปาติกะ ครู่เดียวยามเดียวก็เต็มไส้
ได้ร้อยตัวพันตัวจึงให้ไส้พองท้องใหญ่ขึ้นคับอกคับใจ อึดอัดอยู่ประมาณ ๗ วัน
ตัวมันแก่ขึ้นก็คลานออกทางทวารหนักก็มี ทางคอก็มี
กระทำให้อาเจียรให้จุกเสียดแลขบเอาท้องดังจะขาดใจตาย
ให้ร้อนกระสับกระส่ายหน้าซีดผาดเผือดหาเลือดมิได้ อยู่ประมาณ ๘ วันก็ตาย
รวมทั้งวันล้มไข้จนถึงวันตายเป็น ๑๕ วันด้วยกัน แก้มิได้เลยเป็นอาการตัด
รักษาไม่รอด
อัน ว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อว่าสันตุกมิต โทษเกิดเพื่อไข้พิฆาฏ
ในเมื่อรู้เดินรู้วิ่งแลล้มลงถูกไม้ถูกดินก็ดี
หน้าแลจมูกแลน่าอกลงกระทบฟกช้ำแห่งใดๆก็ดี
ย่อมเป็นไข้พิฆาฏสิ้นกระทำให้จับให้ตัวร้อนมือเท้าเย็น ให้บิดตัวบ้างเป็นเม็ดเป็นยอดขึ้นทั้งตัว
สมมุติว่าออกหัด ครั้นจมเข้าไปทำให้ลงท้องเป็นมูกเลือดจะนับเวลามิได้
ให้ปวดมวนให้ระหายน้ำ ให้มึนมัวให้ไอ กินเข้ากินนมมิได้ ท่านให้แก้จงดี จะได้ส่วน
๑ เสีย ๒ ส่วน
อัน ว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อสาระพะกะระ ให้ขนลุกทุกเส้น
ให้เป็นยอดขึ้นในหูในจมูกก็ดี ครั้นยอดนั้นแตกออกก็เป็นโลหิตใหลไป
จึงให้บวมขึ้นแตกออกเป็นบุพโพเหม็นเน่าย่อมเป็นชั่วนาตาปีหายแล้วก็เป็นอีก
ถ้าขึ้นจมูกแล้วร้ายนัก เพราะว่าขึ้นสมองแล้วตกลงไปในท้อง
ทำให้ลงดังหนองฝีแลมันสมองกระทำให้ตัดอาหาร เสีย เมื่อตายนั้นโลหิตออกทางหูทางจมูก
แลทวารหนักทวารเบา ถ้าอาการเป็นดังนี้ท่านตัด รักษาไม่รอดเลย
อัน ว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อพหรมกิจ เกิดในรูสดือมีเภท
ดังฝีอัคคนีสัน ขึ้น ๓ วันก็ให้ลงเป็นโลหิตสดๆออกมา เพราะมันกลับเข้าไปทำใน ดี, ตับ, หัวใจ,
แลลำไส้, แล้ว ก็ให้กลุ้มอกกลุ้มใจหาสติมิได้
ให้ร้อนให้หนาว แลเภทที่ลงนันก็เป็นโลหิตเสมหะเน่า ถ้าอาการเป็นดังนี้
แพทย์ที่ดีจะแก้ไขได้แต่ใน ๑๕ วันขึ้นไปจนเดือนหนึ่งแล้วเมื่อใด
ก็เป็นอาการตัดแก้มิได้เลยตายเป็นเที่ยง เมื่อจะใกล้ตายโลหิตออกทุกเส้นขน
ถ้ามิตายตาจะแตกทั้ง ๒ ข้าง เพราะว่าต้อก้นหอยจะมาขึ้นทั้งสองข้าง
พระอาจารย์เจ้ากล่าวมาในลักษณะตานจร ทั้ง ๕ จำพวกเป็นอาการตัด
ก็จบแต่เพียงนี้โดยสังเขป
อา จาริเยน อันพระอาจารย์เจ้ากล่าวมาไว้ในพระคัมภีร์อภัยสันตาโน้นดังนี้ สัพฺเพ สัตฺตา อาหารัฏ์ติกา จะว่าด้วยอาหารแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันพิกลต่างๆ ตั้งแต่เกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นแล้ว ครั้งนั้นพรหม ๑๖ พระองค์ลงมากินง้วนดินแล้ว กายแห่งพรหมนั้นก็แปรเป็นไปต่างๆ คือเป็นรูปหญิงรูปชาย แล้วสลัดเสียซึ่งผ้านุ่งผ้าห่มทั้งปวง จึงร่วมประเวณีแก่กันแลกัน ก็ให้ยินดีในเบ็ญจกามคุณ จึงกระทำชาติสัมเภทเสพย์เมถุนธรรมแก่กันแลกันตามจารีตแผ่นดิน แล้วบังเกิดเข้าโภชนฺสาลีขึ้น คนเหล่านั้นก็มาสงเคราะห์เอาซึ่งเข้าสาลีนั้น เป็นอาหารเลี้ยงชีวิตรมาคุ้ง เท่าบัดนี้
อา จาริเยน อันพระอาจารย์เจ้ากล่าวมาไว้ในพระคัมภีร์อภัยสันตาโน้นดังนี้ สัพฺเพ สัตฺตา อาหารัฏ์ติกา จะว่าด้วยอาหารแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันพิกลต่างๆ ตั้งแต่เกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นแล้ว ครั้งนั้นพรหม ๑๖ พระองค์ลงมากินง้วนดินแล้ว กายแห่งพรหมนั้นก็แปรเป็นไปต่างๆ คือเป็นรูปหญิงรูปชาย แล้วสลัดเสียซึ่งผ้านุ่งผ้าห่มทั้งปวง จึงร่วมประเวณีแก่กันแลกัน ก็ให้ยินดีในเบ็ญจกามคุณ จึงกระทำชาติสัมเภทเสพย์เมถุนธรรมแก่กันแลกันตามจารีตแผ่นดิน แล้วบังเกิดเข้าโภชนฺสาลีขึ้น คนเหล่านั้นก็มาสงเคราะห์เอาซึ่งเข้าสาลีนั้น เป็นอาหารเลี้ยงชีวิตรมาคุ้ง เท่าบัดนี้
อันว่าลักษณะกำเนิด มาแต่แสนโกฏิจักรวาฬ คือมาแต่เทวดา, มนุษย์, เดียรัจฉาน,
นรก, ก็ดี เปรต, อสุรกาย,
ก็ ดี แลเกิดในอุปปาติกะก็ดี ครั้นมาเอาปฏิสนธิในทวีปชมพู แล้ว
ก็มาบริโภคซึ่งเข้าสาลีทุกตัวสัตว์ ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายมาบริโภคอาหารต่างๆนั้น
เป็นต้นว่ากุ้งแลปลาสาระพัดอาหารอันหยาบช้า แต่ล้วนเครื่องอันเน่าเปื่อยเป็นอสุจิ
โสโครก จึงให้บังเกิดโรคพยาธิต่างๆ จึงท้าวพกาพรหมผู้เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย
ซึ่งประดิษฐาน ต้นไม้ ให้ลงมาบังเกิดขึ้น ๔ ต้น ขึ้นต้นละทวีป
คืออุดรกาโรนั้นปลูกต้นกัลปพฤกษ์ แต่ต้นไม้ทั้ง ๓ ต้นนี้แต่ล้วนเป็นทิพย์
แต่ชมพูทวีปเรานี้
สัตว์ทั้งหลายย่อมบริโภคอาหารอันหยาบช้าต่างๆจึงประกอบไปด้วยโรคาพยาธิทั้ง ปวง
ท่านจึงประดิษฐานต้นราชพฤกษ์ลงมาปลูกไว้ หวังจะให้แก้โรคอันบังเกิดแก่มนุษย์ทั้งปวง
แลต้นไม้ทั้ง ๔ ต้นนี้เป็นพระยาต้นไม้ เพราะว่าเกิดก่อนต้นไม้ทั้งปวง
เป็นสำคัญแห่งต้นไม้ประจำทวีป แล้วจึงบังเกิดต้นไม้แลต้นหญ้าทั้งปวงได้ ๙ โกฏิ ๙
แสนในแผ่นพื้นพสุธา ต่อเมื่อภายหลังนั้นเธอจึงสาปสรรไว้เป็นสรรพยาสิ้นทั้งนั้น
ใช่แต่เท่านั้นท้าวพกาพรหมเธอจึงอาราธนาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งมีสติปัญญาเป็นอันมาก
จะให้จุติลงมาเกิดในมนุษยโลกย์ จะได้รักษาสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย อันบังเกิดโรคต่างๆ
แลพรหมองค์นั้นเธอจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอพรพระองค์ ๔ ประการ
ท้าวพกาพรหมเธอจึงว่าพรอันใดซึ่งจะปราถนาเราก็จะประสาทไว้ให้แก่ท่านจง
สำเร็จความปรารถนาของท่านทุกประการเถิด พรหมองค์นั้นเธอจึงขอพรเป็นคำรบ ๑ ว่า
เมื่อข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในมนุษโลกย์ในชมพูทวีปนั้นแล้ว
ขอให้ข้าพเจ้าเป็นดุจดังสรรพยา ให้รู้จักลักษณะโรคโดยตนเอง แลพรเป็นคำรบ ๒ ว่า
ขอให้ต้นไม้แลหว้านยาทั้งปวงนั้นพูดได้ ให้บอกแก่ข้าพเจ้าให้รู้ว่า
ยาสิ่งนั้นแก้โรคอันนั้น แลพรเป็นคำรบ ๓ ว่า
ถ้าแลไข้อันใดใกล้ถึงกำหนดจะสิ้นอายุแล้ว แลจะมาหาข้าพเจ้าไปพยาบาล
ขออย่าให้พบข้าพเจ้าเลย แลพรเป็นคำรบ ๔ ว่า
ถ้าข้าพเจ้าจะประสงค์สิ่งอันใดขอให้สำเร็จทุกครั้ง ตามความปราถนาของข้าพเจ้าเถิด
< จบพระคัมภีร์ปฐมจินดาแต่เพียงนี้>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น