วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๑ บริเฉท ๑ ว่าด้วยเรื่องราวการกำเนิดชีวิตมนุษย์ตั้งแต่แรกปฏิสนธิ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ การรักษาครรภ์ การคลอด



พระคัมภีร์ปฐมจินดา

นโม ตัสฺส ภควโต อรหโต สัมฺมาสัมฺพุทฺธัสฺส
นมัสฺสิต๎วา จ เทวินฺทํ เทวราชสักฺกํ อิว
ชีวกโกมารภัจฺจํ โลกนาถํ ตถาคตํ
ปฐมจินฺตารคันฺถํ ภาสิสฺสํ ฉันฺทโสมุขํ
สํเขเป็น กิตฺตยิตํ ปุพฺเพ โลกาน นาถัตฺถันฺติ
แปล (อหํ) อันว่าข้า (นมัสฺสิตฺวา) ถวายนมัสการแล้ว (ตถาคตํ) ซึ่งพระศรีสุคตทศพลญาณเจ้า (โลกนาถํ) เป็นที่พึ่งของโลกย์ (จ) อนึ่งโสด (อหํ) อันว่าข้า (อภิวันฺทิตฺวา) ไหว้แล้วโดยพิเศษ (ชีวกโกมารภัจฺจํ) ซึ่งชีวกโกมารภัจ แพทย์ผู้ประเสริฐ (เทวราชสักฺกํ อิว) เปรียบดุจสมเด็จอมรินทราธิราชบพิตร (เทวินฺทํ) ผู้มีมหิศรภาพเป็นจอมมกุฎแก่เทพย์บุตย์ทั้งหลาย (ภาสิสฺสํ) จักแสดงบัดนี้ (คันฺถํ) ซึ่งพระคัมภีร์แพทย์อันวิเศษ (ปฐมจินฺตารํ) ชื่อประถมจินดา (ฉันฺทโสมุขํ) อันเป็นหลักเป็นประธานแห่งพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ทั้งปวง (กิตฺตยิตํ) อันพระอาจารย์โกมารภัจ แต่งไว้ (ปุพฺเพ) ในกาลก่อน (สังเขเป็น) โดยสังเขป (นาถัตฺถํ) เพื่อจะให้เป็นที่พึ่ง (โลกานํ) แก่สัตว์โลกย์ทั้งหลาย (เอวํ) ด้วยประการดังนี้
    โองการ พินฺทุนาถํ อุปฺปันฺนํ พ๎รฺห๎มา สหัมฺปตินาม อาทิกัปฺเปสุ อาคโต ปัญฺจ ปทุมํ ทิสฺวา นโม พุทฺธาย วันฺทนํ อาจริเยน อันพระอาจารย์เจ้า กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ประถมจินดานี้ ตั้งแต่พรหมปะโรหิตเป็นต้นมานั้น ว่าเมื่อจะตั้งแผ่นดินใหม่ ครั้งนั้น ก็ให้บังเกิด (กัลป์ ) พินาศ กล่าวคือโลกย์ ฉิบหาย ด้วยเพลิงประลัยกัลป์นั้นไหม้ฟ้า แผ่นดิน ภูเขาแลเขาพระสุเมรุ สิ้นแล้วบังเกิดฝนห่าใหญ่ ตกลงมาถึง ๗ วัน ๗ คืน แลน้ำท่วมขึ้นไปถึงชั้นพรหมปโรหิต พรหมปโรหิตจึ่งเล็งลงมาดู ก็เห็นซึ่งดอกอุบล ๕ ดอก ผุดขึ้นมาเหนือน้ำงามหาที่จะอุปมามิได้ ท้าวมหาพรหมจึ่งบอกแก่พรหมทั้งหลายว่าแผ่นดินใหม่นี้ จะบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัส ๕ พระองค์ เพราะเห้นดอกอุบลนั้น ๕ ดอก อันนี้ก็เป็นธรรมดาประเวณีวิไสย สังเกตมาทุกๆ ครั้ง ครั้นแลบังเกิดบุรพนิมิตร ขึ้นแล้ว จึ่งน้ำค้างเปือกตมก็บังเกิดตกลงมา ๗ วัน ๗ คืน แล้วก็เป็นสนับข้นเข้า ดุจดังสวะอันลอยอยู่เหนือหลังน้ำ โดยหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชนฺ อันนี้แจ้งอยู่ในพระคัมภีร์จักรวาฬทิปนีโน้นแล้ว ในคัมภีร์ ประฐมจินดานี้ พระอาจารย์ท่านยกมากล่าวไว้ พอเป็นสังเขป เมื่อแผ่นดินแลเขาพระสุเมรุตั้งขึ้นแล้วนั้น พระอิศวรผู้เป็นเจ้าเธออาราธนาพรหมสององค์ทรงนามว่าพรหมจารี ลงมากินง้วนดิน ครั้นกินแล้วก็ทรงครรภ์คลอดบุตรได้ ๑๒ คน อันพวกนี้เกิดด้วยครรภปะรามาศ คือว่าเอามือลูบนาภีก็มีครรภ์ เกิดบุตรแพร่หลาย ไปทั้ง ๔ ทวีป แตกเป็นภาษาต่างๆกัน แต่ชมภูทวีปเรานี้เป็นกามราค สร้องเสพเมถุนสังวาสจึ่งมีครรภ์ สัตว์ที่มาปฏิสนธินั้นเป็นชลามพุชะ สัตว์ที่เกิดเป็นฟองฟักนั้นชื่ออัณฑชะ สัตว์มาปติสนธิด้วยเปือกตมนั้นชื่อสังเสทชะ อุปปาติกะ นั้นคือสัตว์ปติสนธิเป็น อุปะปาติกะไม่มีสิ่งใดๆก็เกิดขึ้น อันว่ามนุษย์ทั้งหลายถือปติสนธิแล้วก็คลอดจากครรภ์มารดา ถ้าเป็นสัตรีมีประเภทผิดจากบุรุษสองประการ คือต่อมเลือดประการ ๑ คือ น้ำนมสำหรับเลี้ยงบุตรประการ ๑ ครั้นอุดมรูปวัฒนาการเจริญขึ้นพร้อมแล้ว แลเมื่อจะเริ่มฤดูมานั้น ก็ให้ฝันเห็นว่ามีบุรุษมาร่วมรสสังวาศเมถุนตามชาติวิไสย จึ่งสมมุติว่าวิทยาธร อันอุดมมาลอบชมด้วยประเวณี ตั้งแต่นั้นมาก็มีฤดูให้ปรากฎแก่คนทั้งหลาย แลประโยธร คือ เต้าถันก็ตั้งขึ้นด้วย (ปัญ ฺจวิธโลหิตํ หทยํ ชาตํ โลหิตํ ปิตฺตํ ชาตํ โลหิตํ มํสํ ชาตํ โลหิตํ นหารู ชาตํ โลหิตํ อัฏฺฐิ ชาตํ ปัญฺจวิธโลหิตํ) อันว่าสัตรีมีโลหิต ๕ ประการ คือโลหิตปรกติโทษ ซึ่งพระอาจารย์เจ้ายกออกมาแต่ พระคัมภีร์มหาโชตรัต โน้น เอามาสาธกลงไว้ในพระคัมภีร์พรหมปโรหิต หวังจะให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ โดยนัยอันสัตว์จะมาปติสนธิในมาตุคัพโภทร นั้น ก็เพราะโลหิตฤดูบริบูรณ์ดังนี้ (โลหิตํ หทยํ ชาตํ) คือโลหิตบังเกิดมาแต่หทัยประการ ๑ เป็นต้น แลบังเกิดมาแต่ดีแต่เนื้อแต่เอ็นประการ ๑ (โลหิตํ อัฏฺฐิ ชาตํ) คือโลหิตบังเกิดมาแต่กระดูกประการหนึ่งเป็นที่สุด แลโลหิตปรกติโทษ ๕ ประการนั้น ย่อมกระทำโทษนั้น ต่างๆ อันว่าลักษณโลหิตฤดูอันบังเกิดมาแต่หทัยนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักให้ระส่ำระสายคลั่งไคล้ใหลหลงให้ขึ้งโกรธ เมื่อขณะนั้นให้ริมฝีปากเขียว ริมตาเขียว ถ้าแก้มิฟังสัตรีผู้นั้นจะตายเป็นอันเที่ยง อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดมา แต่ดีแลตับนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักให้เชื่อมให้มึนมัวเมาซบเซามิได้รู้ว่ารุ่งแลค่ำ คืนแลวัน แล้วให้นอนสดุ้งหวาดไหวเจรจาด้วยผี สมมุติว่าขวัญกินเถื่อน โทษทั้งนี้คือโลหิตกระทำเอง ถ้ารู้ไม่ถึงกำหนด ๗ วันตาย เมื่อตายแล้วจึ่งผุดขึ้นมาเป็นแว่นเป็นวงสีเขียว สีแดงก็มี ดุจกล่าวมานั้น อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดมาแต่เนื้อนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักกระทำให้ร้อนใน ผิวเนื้อแลหนังแดงดัง ลูกตำลึงสุกขึ้นเป็นยอดผด แล้วให้คันทั้งตัว ต่อมีฤดูมาจึ่งหายไป อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดแต่เส้นเอ็นนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักกระทำให้เจ็บตัวทั่วสรรพางค์กาย แลให้สบัดร้อนสะท้าน หนาวแลให้จับปวดศีรษะเป็นกำลัง ต่อมีฤดู มาจึ่งหายไป อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดมาแต่กระดูกนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักกระทำให้เมื่อยกระดูกทุกข้อกระดูกต่อกันดังจะคลาด ให้เจ็บเอ็วเจ็บหลังนัก ต่อมีฤดูมาจึ่งหายไป ซึ่งว่ามาทั้งนี้หวังจะให้แพทย์พิจารณาดู ให้รู้ว่าโลหิตฤดูนั้นเกิดออกจากที่ใด ถ้ารู้แท้แล้วให้เร่งประกอบยาชื่อว่าพรหมภักตร์ ประจุ โลหิตเน่าโลหิตร้ายเสียให้สิ้นเชิง แล้วจึ่งแต่งยาบำรุงโลหิต อันชื่อว่ากำลังราชสีห์นั้นกินต่อไป แล้วจึ่งแต่งยาบำรุงธาตุให้ธาตุปรกติดีแล้ว โลหิตจึ่งจะงามบริบูรณ์ อันว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธิ นั้นจึ่งได้ตั้งขึ้น ในมาตุคัพโภทรแห่งมารดาเป็นปรกติ อนึ่งสัตรีบางจำพวกมีสามี แลหาสามีมิได้ก็ดี เดิมโลหิตงามบริบูรณ์อยู่แล้ว ครั้นอยู่มาให้หน้าซีดมือเท้าก็ซีด ให้เจ็บหลังเจ็บเอว เพราะโลหิตนั้นแห้งติดกระดูกสันหลังอยู่ สมมุติว่าเป็นริดสีดวง อนึ่งสัตรีบางจำพวกนั้นโลหิตแห้งเป็นก้อนเข้า เท่าฟองไก่ติดหัวเหน่าอยู่ก็ดี ติดในทรวงอกก็ดี แลกลมกลิ้งอยู่ในท้องก็ดี บางทีให้ท้องขึ้น บางทีให้ลงท้อง บางทีให้เจ็บท้อง จุกอกแดกขึ้นดังจะขาดใจตาย ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาให้พิจารณา โดยลักษณะที่กล่าวมาแต่หลังนั้น ถ้าแลมิฟังมักกลายเป็นโรคริดสีดวงแห้ง ไป อนึ่งถ้าสัตรีบางจำพวก ซึ่งเป็นพรหมจารี นั้น แต่รุ่นสาวควรจะมีฤดูแล้วแลฤดูนั้นก็ไม่มีมา บางจำพวกต่ออายุ ๒๐ หรือ ๓๐ ต่อมีสามีแล้วจึ่งมีฤดูมา อันว่าลักษณะหญิงเหล่านี้ ย่อมมีแต่กาลก่อนโน้น
( จบพรหมปุโรหิตแต่เพียงนี้ )


   อาจาริเยน อันพระอาจารย์เจ้า จะกล่าวพระคัมภีร์ปฐมจินดานี้ ซึ่งท่านคัดออกมาจากคัมภีร์โรคนิทาน โน้นต่อไปให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้โดยสังเขปดังนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเมื่อจะตั้งอนุโลมปฏิสนธินั้น พร้อมด้วยบิดามารดากับธาตุทั้ง ๔ ก็บริบูรณ์พร้อมคือปถวีธาตุ ๒๐ อาโปธาตุ ๑๒ เตโชธาตุ ๔ วาโยธาตุ ๖ ระคนกันเข้าคือเกิดเพราะโลหิตบิดามารดาะคนกัน มิได้วิปริตจึ่งบังเกิดขึ้นด้วยธาตุน้ำ คือต่อมโลหิตแห่งมารดา ก็ให้บังเกิดตั้งขึ้นเป็นอนุโลมปฏิสนธินั้น ในเมื่อสัตว์จะปฏิสนธินั้นท่านกล่าวไว้ว่า สุขุมังปะระมานูเลอียดนัก เปรียบด้วยขนทรายจามรีเส้น ๑ เอามาชุบน้ำมันงาที่ใส่นั้น แล้วเอามาสลัดเสียให้ได้ ๗ ครั้ง แต่ยังติดอยู่ที่ปลายขนทรายจามรี มากน้อยเท่าใด อันมูลปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งหลายสุขุมเลอียดดุจนั้น แต่ตั้งขึ้นในครรภ์มารดาแล้วละลายไปได้วันละ ๗ ครั้ง กว่าจะตั้งขึ้นได้เป็นอันยากนัก ครั้นโลหิตตั้งขึ้นได้แล้วอยู่ ๗ วัน ก็บังเกิดเป็นปฐมกะละละ นั้นเรียกว่าไชยเภท คือมีฤดูล้างหน้าที ๑ ถ้ามิดังนั้นก็ให้มารดาฝันเห็นวิปริต ก็รู้ว่าครรภ์ตั้ง แลครรภ์ตั้งขึ้นแล้วมิได้วิปริต ครบ ๗ วันก็ขันเข้าดังน้ำล้างเนื้อ เมื่อไปอีก ๗ วันเป็นชิ้นเนื้อ ไปอีก ๗ วันเป็นสัณฐานดังไข่งู ไปอีก ๗ วันก็แตกออกเป็นปัญจสาขา ๕ แห่ง คือ ศีร์ษะ ๑ มือ ๒ เท้า ๒ จึ่งเป็น ๕ ไปอีก ๗ วันก็เกิด เกสา โลมา นขา ทันฺตา ลำดับกันไปดังนี้ ในขณะเมื่อครรภ์ตั้งขึ้นได้เดือนหนึ่งกับ ๑๒ วันนั้น โลหิตจึ่งบังเกิดเวียนเข้าเป็นตานกยูงที่หัวใจเป็นเครื่องรับดวงจิตรวิญญาณ ถ้าหญิงเวียนซ้าย ถ้าชายเวียนขวา แต่มิได้ปรากฎออกมา ครั้นเมื่อครรภ์ถ้วนไตรมาศ แล้วโลหิตนั้นก็แตกออกไปตามปัญจสาขา เมื่อได้ ๔ เดือนจึ่งตั้งอาการ ๓๒ นั้น จึ่งบังเกิดตาแลหน้าผาก ก่อนสิ่งทั้งปวงจึ่งบังเกิดเป็นอันดับกันไป เมื่อครรภ์ได้ ๕ เดือน จึ่งมีจิตรแลเบ็ญจขันธ์ พร้อมรูปักฺขันฺโธ เมื่อตั้งเป็นรูปขันธ์ เข้าแล้ว วิญฺญาณักฺขันฺโธก็ให้มีวิญญาณขันธ์ รู้จักร้อนแลเย็น ถ้าแลมารดาบริโภคอาหารที่เผ็ดร้อนเข้าไปเมื่อใด ก็ให้ร้อนทุรนทุราย ดิ้นเสือกไปมาเวทนากฺขันฺโธ เวทนาขันธ์ ก็บังเกิดขึ้นตามกัน คือ ที่อยู่ในท้องของมารดานั้นลำบากทนทุกขเวทนาดุจสัตว์ในนรก คือ นั่งยองกอดเข่าเอากำมือไว้ใต้คาง ผินหน้าเข้าสู่กระดูกสันหลังของมารดาผินหลังออกข้างนาภี เหมือนดังลูกวานรอันนั่งอยู่ในโพรงไม้นั้น นั่งทับกระเพาะอาหารเก่า อาหารใหม่ตั้งอยู่บนศีร์ษะ แลน้ำอาหารนั้นก็เกรอะ ทราบ ลงไปทางกระหม่อม เพราะว่าทารกอยู่ในครรภ์นั้นกระหม่อมเปิด ครั้นมารดาบริโภคสิ่งอันใดที่ควรเข้าไปได้แล้วก็ซึมทราบออกจากกระเพาะเข้าก็ เลื่อนลงไปในกระหม่อม ก็ได้รับประทานอาหารของมารดาก็ชุ่มชื่นชูกำลังเป็นปรกติ ถ้ามารดามิได้บริโภคอาหารแลรสอาหารมิได้ทราบลงไป ทารกนั้นก็มิได้รับรสอาหาร จึ่งทุรนทุรายกระวนกระวายระส่ำระสายดิ้นรนต่างๆอันนี้ ก็มีแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์จตุราริยสัจ โน้นแล้ว ในคัมภีร์ปฐมจินดานี้ พระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้พอเป็นในความแต่พึงรู้แพทย์ทั้งหลายจะได้ สงเคราะห์ซึ่งโรคนั้นหนึ่งโสดเมื่อสัตว์จะปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้นกล่าวนิ มิตร์ว่า ถ้ามารดาอยากมัจฉะมังษา เนื้อปลาแลสิ่งของ เป็นสิ่งอันคาว ท่านว่าสัตว์นรกมาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากสิ่งอันเปรี้ยวแลขม ท่านว่ามาแต่ป่าหิมพานตฺ มาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากน้ำผึ้งน้ำอ้อยน้ำตาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์ลงมาเอากำเนิดเป็นมนุษย์ ถ้าแลมารดาอยากสรรพผลไม้ทั้งปวง ท่านว่ามาแต่ติรัจฉาน มาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากกินดิน ท่านว่ามาแต่พรหม ลงมาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากกินสิ่งที่เผ็ดแลร้อน ท่านว่ามาแต่มนุษย์มาปฏิสนธิ เมื่อมารดาอยากของดังกล่าวมานี้ก็เป็นธรรมดาโลกยวิไสย อันจะให้ทารกอยู่ในครรภ์นั้นบังเกิดโรคแลพยาธิต่างๆ ข้อหนึ่งเมื่อกุมารกุมารีนั้นเจริญพร้อมด้วยอินทรีย์แลเบ็ญจขันธ์แล้ว อาการ ๓๒ ก็บริบูรณ์ด้วย เมื่อเบ็ญจขันธ์แลอินทรีย์ อาการ ๓๒ พร้อมบริบูรณ์แล้วเมื่อใด จิตรจึ่งคิดว่ามารดาของอาตมนี้ประกอบไปด้วยความกรุณา อุส่าห์บำรุงรักษาอาตมนี้ก็มีคุณหาที่สุดมิได้ เมื่อใดอาตมจะได้ออกไปจากครรภ์มารดา อาตมจะได้แทนคุณมารดาของอาตม อันนี้ก็เป็นธรรมดาประเพณีแห่งพระบรมโพธิสัตว์แต่ปางก่อนโน้น
     พระ คัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๑ บริเฉท ๒ ว่าด้วยลักษณครรภ์ วารกำเนิด ครรภรักษา ครรภ์วิปลาศ ครรภ์บริมณฑล ครรภ์ประสูตร จบบริบูรณ์โดยสังเขปเท่านี้
( จบปริเฉท ๑ เท่านี้ )


    ปุน จปรํ มาตุรักฺขิปติฏฺฐิตรํ ชีวกโกมาโรหรํ อาภตรํ ฐาเน อิทรํ สุตรํ อิติ เอตฺถ วจนัสฺส มหาเถรโต อโหสีติ (ปุน จปรํ) ว่าในถ้อยคำอนึ่งเล่า (อหํ) อันว่าเข้า (ชีวกโกมาโร) ชื่อชีวกโกมารภัจ (สุตํ) ได้สดับฟัง (มหาเถรโต) จากสำนักพระมหาเถรผู้ชื่อว่าตำแย (อาภตํ) เธอนำมา (ปติฏฺฐิตํ) สำทับลงไว้ (มาตุคัพฺภรักฺขัม๎หิ) ในคัมภีร์ครรภรักษานี้ (เอตฺถ วจเน) ในถ้อยคำหนึ่งเล่า (อัส ฺส มหาเถรัสฺส) แห่งพระมหาเถรนั้น (อิติ) ด้วยประการดังนี้ โดยอธิบายของท่านโรคามฤตินทร์ ผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ของชีวกโกมารภัจ ศัพทฺนี้แปลเนื้อความว่าหมออันท่านพระราชกุมารเลี้ยง แลเป็นศิษย์ครูชื่อว่ามฤตินทร์ อันท่านผู้ชื่อว่าโรคามฤตินทร์นั้น ท่านได้พรลงมาแต่ท้าวมหาพรหมว่ารักษาคนทั้งหลายไม่รู้ตายเลย ถ้าผู้ใดจะถึงแก่ความตายแน่แล้ว ถึงเธอจะนั่งอยู่ในที่ใดๆก็ดี ผู้ที่ไปหานั้นจะเห็นตัวเธอนั้นก็หาไม่ ท่านผู้นั้นประกอบไว้ซึ่งเวทมนตฺ ให้เป็นหมวดเป็นหมู่ กับทั้งสรรพคุณ แห่งหว้านยา ทั้งปวง ทั้งนี้ก็อาไศรยด้วยกำลังบุญญาธิการของท่าน เมื่อท่านเดินไปในสถานใดๆ ต้นไม้แลหว้านยาทั้งปวงก็ร้องบอกแก่ท่านผู้นั้นว่า ข้าพเจ้าชื่อนั้นๆ จะแก้โรคมนุษย์สิ่งนั้นๆ บอกแก่เธอเพรียก ไปทั้งป่า แต่ว่าได้ยินแต่เธอผู้เดียว เหตุดังนั้นท่านจึ่งประสม เป็นยาตั้งแต่เป็นพระคัมภีร์ไว้ให้แก่แพทย์ทั้งปวงสืบต่อมา ตั้งแต่ศาสนาพระพุทธเจ้า อันทรงพระนามว่าพระกักกุสนธ์ มาจนถึงศาสนาพระโคดม เจ้าของเราทุกวันนี้ ถ้าบุคคลผู้ใดจะเรียนเป็นแพทย์แล้ว ให้เรียนคัมภีร์อันชื่อว่าสรรพคุณนั้นเสียก่อน ถ้าจะรักษากุมารให้เรียนคัมภีร์อันชื่อว่า อภัยสันตา ปฐมจินดามหาโชตรัต ทั้ง ๓ คัมภีร์นี้ ให้ชำนิชำนาญเป็นปฐมเสียก่อน แล้วจึ่งเรียนคัมภีร์ทั้งปวงเป็นอวสานนั้นต่อไปเถิด


    ปุน จปรํ ทีนี้จะว่าด้วยคัพภวาระ กำเนิดสืบเรื่องต้นดังนี้โดยสังเขป ตุมฺห ปัสฺสถิมํ โลกัสฺมึ สัตฺตปฏิสันฺธิกํ มาตุคัพฺภํ ติวิธํ เตมาสํ กุมารมาตโร พาฬหคิลานิโย ติฏฺฐันฺติ โดยอธิบายของพระมหาเถรตำแยนั้นว่า เมื่อสัตว์จะมาปฏิสนธิในมาตุคัพโภทร แห่งมารดานั้น ว่าตั้งขึ้นแล้วละลายไปแต่วันละ ๗ ครั้งๆ ทั้ง ๗ วันนั้น แลจะนับเอาเป็นเที่ยง นั้นยังมิได้ก่อน เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายที่มาเป็นปฏิสนธินั้น ยังเป็นอนุโลมปติโลม อยู่ ยังมิได้ตั้งขึ้นเป็นเที่ยง ต่อได้ ๑๕ วันแล้วเมื่อใด จึ่งตั้งมูล ปฏิสนธิขึ้นเป็นเที่ยง ในเมื่อตั้งมูลปฏิสนธิขึ้นเป็นเที่ยงแล้วนั้น จึ่งให้ปรากฎแก่คนทั้งหลายทั้งปวง ถ้าจะใคร่รู้ว่าตั้งมูลปฏิสนธินั้นจะเป็นวันใด ก็ให้ดูเมื่อมารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือนนั้น ให้ดูเพศแลอาการของมารดานั้น ก็ยังรู้ถอยหลังเข้าไปเอาวันแรกปฏิสนธินั้นเป็นกำหนด ถ้ามารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน ให้มารดานั้นเป็นพรรดึก แลให้เป็นเอ็นชัก มือแลเท้า ให้กายนั้นผอมเหลือง แลเดินไปไกลก็มิได้ ให้เจ็บหัวเหน่าแลท้องน้อย แลน่าตะโพก เป็นกำลังมักให้อยากหวาน แลให้ฝ่าเท้าข้างซ้ายแดง ทายว่ากุมารนั้นจะเป็นหญิง ถ้าฝ่าเท้าข้างขวาแดงทายว่า กุมารนั้นจะเป็นชาย แล้วก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันอาทิตย์ เมื่อจะคลอดก็วันอาทิตย์ เพราะว่ากำเนิดทรางเพลิงเป็นเจ้าเรือนของกุมารผู้นั้นจึ่งแสดงออกแก่มารดา ดังนี้ ถ้ามารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน มักให้มารดานั้นปวดศีร์ษะแลให้เจ็บนมให้อยากของหวาน ให้เมื่อยแขนทั้งสองข้างให้ตาฟาง ให้หูหนัก ให้เป็นลมมึนตึง ให้อาเจียรลมเปล่า ถ้าแพทย์เห็นดังนี้แล้วก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันจันทร์ เมื่อจะคลอดก็วันจันทร์ เพราะว่ากำเนิดทรางน้ำเป็นเจ้าเรือน กุมารผู้นั้นจึ่งแสดงเพศออกแก่มารดาดังนี้ ถ้ามารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน มักให้เป็นลมจุกเสียดแลลมวิงเวียน แลให้หลังมือแลเท้าบวมถึงน่าตะโพกให้เมื่อยขบนอนมิหลับ แล้วก็ให้เป็นเม็ดยอด ขึ้นที่เพดานเท่าเมล็ดเข้าโภชนฺ ก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันอังคาร เมื่อจะคลอดก็วันอังคาร เพราะว่ากำเนิดทรางแดงเป็นเจ้าเรือนของกุมารนั้น จึ่งแสดงเพศออกแก่มารดาดังนี้ ถ้าแลมารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน มักให้จุกเสียดแลราก ให้บวมแต่ขาถึงปลายเท้า แลให้เจ็บน่าตะโพก ให้กินเข้าขม แล้วให้ทวารหนักทวารเบานั้นพรึงขึ้นรอบทวาร แล้วก็เปื่อยออกเป็นน้ำเหลือง ก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันพุฒ เมื่อจะคลอดก็วันพุฒ เพราะว่าทรางสกอ นั้น เป็นเจ้าเรือนแห่งกุมารนั้น จึ่งแสดงเพศออกมาแก่มารดาดังนี้ ถ้ามารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน มักให้ปากแลลิ้นเป็นเม็ดเป็นยอด แล้วก็ให้เปื่อยออกจะกินของเผ็ดของร้อนมิได้ ไปจนถึงหกเดือนแล้วให้ลามออกข้างลิ้นเพดานแล้วก็แตกเช่นระแหง ครั้นกลืนน้ำลายเข้าไปก็ให้ตกมูกตกเลือดเป็นบิดไปจนกำหนดคลอด ก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันพฤหัศบดี เมื่อจะคลอดก็วันพฤหัศบดี เพราะว่าทรางวัวเป็นเจ้าเรือนแห่งกุมารนั้น จึ่งแสดงโทษออกแก่มารดาดังนี้ ถ้ามารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือนมักให้ตัวพรึง ขึ้นดังยอดผด ให้คันเป็นกำลัง แล้วให้ทวารทั้งสองนั้น ลำลาบ เปื่อยเป็นน้ำเหลืองออกรอบทวารนั้น ให้ปวดหัวเหน่า แลเจ็บน่าตะโพก แลสองตะคาก แล้วให้ขัดเบา ได้หกเดือนให้จุกเสียดได้ ๘ เดือน ๙ เดือน ให้บวมมือแลเท้า ไปจนกำหนดคลอดก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันศุกร์ เมื่อจะคลอดก็วันศุกร์ เพราะว่ากำเนิดทรางช้างเป็นเจ้าเรือนแห่งกุมารนั้น จึ่งแสดงโทษออกแก่มารดาดังนี้ ถ้ามารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน มักให้ท้องผูกไปให้ถ่ายอุจจาระ ๒ วัน ๓ วันจึ่งไปหนหนึ่ง แลให้อยากของคาวให้สวิงสวาย ให้หัวนมพรึงขึ้นดังยอดผด แล้วให้แตกเป็นน้ำเหลือง ได้ ๖ เดือนก็ให้เป็นบิดตกมูกตกเลือด แลให้เจ็บเอ็วให้อยากเปรี้ยวอยากหวาน แลให้อยากสรรพฟอง ทั้งปวง แลให้อยากผักพล่าปลายำ ไปจนกำหนดคลอด ก็ให้พึงรู้ว่าสัตว์มาปฏิสนธิวันเสาร์ เมื่อจะคลอดก็วันเสาร์ เพราะว่าทรางขะโมยเป็นเจ้าเรือนของกุมารนั้น จึ่งแสดงโทษออกแก่มารดาดังนี้
( จบลักษณะครรภ์วารกำเนิดเพียงนี้ ให้แพทย์พึงรู้โดยสังเขป )


     ปุน จปรํ ที นี้จะว่าด้วยครรภรักษาต่อไป ตามเรื่องดังนี้ว่าสัตรีทั้งปวงนี้มีครรภ์อันตั้งขึ้นได้ ๑๕ วันก็ดี เดือนหนึ่งก็ดี แสดงกายให้ปรากฎแก่คนทั้งหลาย ให้รู้ว่าตั้งครรภ์ขึ้นแล้ว เพราะว่าเอ็นผ่านน่าอกนั้นเขียว หัวนมนั้นคล้ำดำเข้าแล้วตั้งขึ้นเป็นเม็ดรอบหัวนมนั้น ก็ให้แพทย์พึงรู้ว่าสัตรีผู้นั้นมีครรภ์โดยสังเขป ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้เดือน ๑ ก็ดี ถ้าไข้รำเพรำพัด คือให้รากให้จุกในอุทรแลให้แดกขึ้นแลแดกลงเป็นกำลัง แลให้มะเมอ เพ้อพก ดังผีเข้าแพทย์ไม่รู้ ว่าเป็นไข้สันนิบาตนั้นหามิได้เลย บังเกิดโทษในครรภ์รักษานั้นเอง ถ้าจะแก้ให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร ๔ มุม เอาแป้งคลึงท้องด้วยมนตฺนี้ โอมธิชูภูภะ สวาหะ ๗ ที แล้วจึ่งเอาแป้งที่คลึงนั้น มาปั้นรูปหญิงคน ๑ รูปภูเขาอัน ๑ รูปไก่ตัว ๑ รูปม้าตัว ๑ เอาลูกไม้ ๗ สิ่ง ดอกไม้ ๗ สิ่ง แล้วเอาเข้าสารโปรยกลางลูกไม้บูชา แล้วเอาไปส่งที่ทิศอาคเณย์ ทำ ๓ วันหาย ถ้าไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอาจันทร์หอมดอกบัวเผื่อน รากบัวหลวง เข้าเหนียวกัญญา ศิริ ยา ๔ สิ่งนี้บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมโคกินหาย ถ้าไม่หายให้เอาขนานนี้ เนื้อโคย่าง ๑ เข้าตอกเข้าเหนียวกัญญา ๑ บดละลายน้ำผึ้งกินหาย ถ้าให้ร้อนยาขนานนี้ ท่านให้เอาใบไทรย้อย ใบหญ้าแพรก ใบพรมมิ ใบตำลึง ดินประสิวขาว ศิริยา ๕ สิ่งนี้ บดละลายน้ำซาวเข้าชะโลมหายกินก็ได้ ใช้มามากแล้ว ถ้ามีครรภ์ได้ ๒ เดือนแม้นเป็นไข้จับๆ เป็นเวลาทุกวันก็ดี ให้นอนไม่หลับกินเข้าไม่ได้ ให้เชื่อมให้มึน ให้เป็นอันใดๆ ก็ดี เว้นวันจับวันก็ดี ถ้าจะแก้ให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์กลมอัน ๑ เอาแป้งคลึงท้องด้วยมนตฺนี้ โอมอมรหิชิวันฺติเย สวาหะ ๗ ที แล้วจึ่งเอาแป้งที่คลึงนั้นมาปั้นเป็นรูปแมวตัว ๑ เอาผัก ๓ สิ่ง เอาลูกไม้ ๓ สิ่ง เอาดอกไม้ ๓ สิ่ง แล้วจงเอาเข้าสุกเท รายตีนตอง เอาแป้งหอมน้ำมันหอมพรมบัตร์ เอาไปส่งทิศบูรพฺ หาย ถ้าไม่หายให้แต่งยาขนานนี้ให้กิน ท่านให้เอาเกสรบัวหลวง ดอกจงกลนี หัวแห้วหมู เทียนดำ กระจับบกบดละลายน้ำซาวเข้ากินหาย ถ้าไม่หายขนานนี้ ท่านให้เอารากบัวหลวง รากบัวเผื่อน แห้วสด กระจับสด ใบผักแว่น ขิงสด แต่น้อย บดด้วยน้ำน้ำแรมคืน น้ำนมโคก็ได้ กินแก้ปวดท้องแลท้องขึ้นหายยาชะโลมขนานนี้ ท่านให้เอาใบหนาด ใบโพกพาย รากผักไห่ เม็ดในขนุน ละมุด ดินสอพอง บดด้วยน้ำซาวเข้าชะโลมหายดีนักได้เชื่อมาแล้ว ถ้าสตรีมีครรภ์ได้ ๓ เดือน แลไข้ให้ลงให้รากจุกเสียดแทงหน้าแทงหลัง กินอาหารมิได้ นอนไม่หลับ ถ้าเป็นดังนี้ไซ้ ให้เกรงลูกจะตกเสีย ถ้าจะแก้ให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์ ๓ มุม เอาแป้งเอาถั่วเขียวคุลิการ ด้วยกันเข้าคลึงท้องด้วยมนตฺนี้ โอม สิทธิ สา มกาเรติ เทพิน วา อหํ อิชา กานํ มาเรหิ เอหิๆ อาคัจฉันติ กาเมหิเน ๗ ที แล้วเอาแป้งที่คลึงนั้นมาปั้นเป็นรูปหญิงคน ๑ รูปกระต่ายตัว ๑ เอาเข้าสุกกองเป็นจอมปลวก เอาเหล้าเข้าวางลงในกระบาล น้ำนมโค ผัก ๓ สิ่ง ดอกไม้ ๓ สิ่ง แป้งกระแจะน้ำมันหอมประพรมบัตร์แล้ว เอาไปส่งทิศประจิม ทำ ๓ วันหายประสิทธิ์ ถ้าไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอายางไข่เน่า ยางมะม่วง กระดอม บดละลายน้ำร้อนกินหาย ถ้าไม่หายให้เอาเข้าตอกเข้าเหนียวกัญญา บดละลายน้ำนมโคกินหาย ยาชะโลม ขนานนี้ ท่านให้เอารากกระจับบก ใบบัวหลวงอ่อน มูลโคตกใหม่ จันทนฺหอม เปราะหอม หญ้าแพรก แฝกหอม เถาชิงช้าชาลี บดละลายน้ำซาวเข้า ชะโลมดีนัก ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๔ เดือน เป็นไข้เพื่อเสมหะให้โทษต่างๆ แลเป็นลมให้เหงื่อตก แลตกโลหิตก็ดี ถ้าแลประชุมพร้อมทั้ง ๔ สิ่งแล้วเมื่อใดจึ่งได้ชื่อว่าสันนิบาต ถ้าจะแก้ให้ทำตามบุราณเสียก่อน คือท่านให้ทำบัตร์ ๔ มุม เอาแป้งคลึงท้องด้วยมนตฺนี้ โอม เห เห โหติฐ โหติฐ เหยะนะ เหยะนะ โอม ปักขสํ สาภตา วปสยุนฺนสนา ริเห ๗ ที แล้วเอาแป้งที่คลึงนั้นมาปั้นเป็นรูปแร้งตัว ๑ รูปงูเขียวตัว ๑ รูปคน ๒ คน เอาลูกไม้ ๒ สิ่ง ดอกไม้ ๒ สิ่ง ผัก ๒ สิ่ง เอาใบมะม่วงรองบัตร์ แล้วเอาไปส่งทิศพายัพ ๓ วันหาย ถ้าไม่หายให้แต่งยานี้กิน ท่านให้เอาโกฐเขมา เกสรบัวหลวง รากขัดมอน ดอกจงกลนี บดด้วยน้ำนมโค กินหาย ถ้าไม่หายเอาดอกสัตตบงกช โกฐกระดูก รากบัวหลวง กระจับบก จันทนฺหอม รากขัดมอน หัวแห้วหมู รากมะตูม ผลผักชี ขิงสด ยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ยาชะโลมสำหรับประกอบกัน ขนานนี้ท่านให้เอารากสลอดน้ำ รากหญ้านาง รากทองหลางหนาม รากพุมเรียงบ้าน พุมเรียงป่า จันทนฺแดง จันทนฺขาว รากพุงดอ รากตำลึง รากฟักเข้า เกสรบัวหลวง ดินประสิวขาว ดินสอพอง รวมยา ๑๒ สิ่งนี้ เอาเท่ากันกระทำ ให้เป็นจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำซาวเข้าทั้งกินทั้งชะโลมดีนัก เป็นยากลอ่มลูกมิให้เป็นอันตรายได้วิเศษนัก ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๕ เดือน แลเป็นไข้ให้ลงให้รากให้จุกหน้าจุกหลังเป็นสิ่งใดๆก็ดี ก็เป็นเพราะครรภรักษานั้นเอง ถ้าจะแก้ให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์ ๕ มุม เอาแป้งคลึงท้องด้วยมนตฺนี้ สันฺติปักฺขา อปัตฺตนา สันฺติปาทา อวัญฺจนา มาตาปิตา จ นิกฺขันฺตา ชาตเวทปติกฺกม ปติกฺกมันฺตุ ภูตานิ โสหํ นโม ภควโต นโม สัตฺตันฺนํ สัมฺมาสัมฺพุทฺธานันฺติ ๗ ที แล้วจึ่งเอาแป้งที่คลึงท้องนั้นมาปั้นเป็นรูปหญิงคน ๑ ดอกไม้ ๕ ดอก ผักพล่าปลายำเหล้าแลเข้าเนื้อแห้งบูชา แล้วเอาไปส่ง ทิศหรดี ที่ต้นไม้ใหญ่ ๓ วันหาย ถ้าไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอาดอกบัวเผื่อน ดอกบุนนาก ยางมะม่วง บดละลายน้ำนมโค กินแก้ลงท้องแลลงโลหิต แก้จุกเสียดหาย ถ้าไม่หายให้เอา ใบบัวบก เทียนดำ ขมิ้นผง ปูนแดง บดละลายน้ำสุรากินแก้ลงโลหิตทางทวารหนักทวารเบานั้นหาย ยาทาแก้เมื่อย ท่านให้เอาเปลือกสมุนละแว้ง รากเปล้าน้อย สะค้าน สนเทศ เอาเท่ากัน บดละลายน้ำปูนใส เมื่อยที่ไหนทาที่นั้น เว้นแต่ที่ท้องมิให้ทาจะเป็นอันตรายแก่กุมาร ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๖ เดือนแลเป็นไข้ ให้เจ็บแข้งเจ็บขา เจ็บน่าตะโพก แลให้คันทวาร อุจจาระปัสสาวะ แล้วให้เป็นลมจับเนืองๆ ถึงจะเสียกระบาลก็ไม่หาย แต่ว่าท่านให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์ ๔ มุม สองชั้นเอาแป้งคลึงท้องด้วยคาถานี้ อัคโคหมัส๎มิ โลกัส๎มินติ ภวติ โลกิติ โลกัส สันฺนิภัพฺภัทฺม หิริ คัพฺภปมุญฺจันฺติ ๗ ที แล้วจึ่งเอาแป้งที่คลึงท้องนั้นมาปั้นเป็นรูปวัวตัว ๑ รูปม้าตัว ๑ รูปไก่ตัว ๑ เอาน้ำมะนาว ๑ น้ำมันงา ๑ ผัก ๗ สิ่ง ลูกไม้ ๗ สิ่ง ดอกไม้ ๗ สิ่ง ขนม ๗ สิ่ง เอาเข้าขั้ว รายตีนตอง แล้วจึ่งเอาสุราแป้งน้ำมันที่ดีประพรมบูชา เอาไปส่งทิศหรดี ๓ วันหาย ถ้ายังไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอาเม็ดในส้มซ่า เปลือกสะแก จันทนฺแดง จันทนฺขาว ดอกจงกลนี เอาเท่ากันบดละลายน้ำนมโคกินหาย ถ้าไม่หายให้ประกอบยาให้สุขุม ขึ้นไป เพราะกุมารนั้นแก่กล้าอยู่แล้ว เป็นเบ็ญจสาขา พร้อมด้วยอาการ ๓๒ นั้นอยู่แล้ว ท่านให้เอาลูกคนทีสอขั้ว หว้านน้ำ เทียนดำ เทียนขาว มหาหิงค์ เปราะหอม หัวแห้วหมู บรเพ็ด เกสรบัวหลวง ดอกบุนนาค อบเชยเทศ ลูกเอ็น เปลือกเงาะ ชเอมเทศ ลูกผักชี เอาสิ่งละสองสลึง พริกไทย ๑๑ เม็ด ยา ๑๖ สิ่งนี้ทำให้เป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำนมโคกินหายดีนัก ใช้มามากแล้วแล้วจึงทำยาชะโลม ท่านให้เอาใบทองหลางหนาม ใบขนุน ละมุด ใบหญ้านาง ใบหนาด ใบเพกา ใบหว้านน้ำ ใบหญ้าแพรก ขมิ้นอ้อย รวม ๘ สิ่ง เอาเท่ากันบดทำแท่งไว้ละลายน้ำซาวเข้าชะโลม แก้สารพัดในครรภรักษาหายดีนัก ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๗ เดือน แลไข้ให้เป็นต่างๆให้ลงให้รากโลหิตก็ดี แลให้ร้อนภายใน ให้เป็นไข้ไปต่างๆ ถ้าจะแก้ให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์ ๔ มุม ๒ ชั้น เอาแป้งคลึงท้องด้วยมนตฺนี้ โอม หมัสฺสมิ นโม จ สุคโต ปัจฺจุปันฺนา ปัญฺจพุทฺธาปน โอม สิมหาสิ ครั้นกูแบ่งกดขี่กูจะบูชาแก่เทวดาอันประสิทธิ์ในสงสาร โอมสิทธิกาลมหาสิทธิกาล สวาหะ ๗ ที แล้วจึงเอาแป้งที่คลึงท้องนั้นมาปั้นเป็นรูปเสือตัว ๑ รูปแร้งตัว ๑ เอาเข้าสารขาวรายตีนตอง จันทนฺแดง จันทนฺขาว ผัก ๓ สิ่งเข้าตอกดอกไม้บูชา ส่งทิศประจิม ๓ วันหาย ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๘ เดือนแลเป็นไข้ ท่านว่ามิพอเป็นไรนัก เพราะว่ากุมารนั้นแกกล้าจวนจะคลอดอยู่แล้ว ถ้าเป็นไข้รำเพรำพัด ต่างๆ ท่านให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์กลมใบ ๑ เอาแป้งคลึงท้องว่าด้วยคาถานี้ สัพฺเพ เทวา ปิสาเจว อาฬวกาทโยปิ จขัคฺคํ ตาลปัตฺตํ ทิสฺวา สัพฺเพ ยักฺขา ปลายันฺติ ๗ ที แล้วจึงเอาแป้งที่คลึงท้องนั้นมาปั้นเป็นรูปม้าตัว ๑ เอาเข้าสารขาวรายตีนตอง ผัก ๒ สิ่ง ดอกไม้ ๒ สิ่ง เอาใบมะม่วงรอง แป้งหอมน้ำมันหอมประพรมบูชาแล้วเอาไปส่งทิศอิสาณ ที่ต้นไม้ใหญ่ ๓ วันหาย ถ้าไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอาเม็ดผักกาด รากบัวหลวง เข้าเหนียวกัญญาบดด้วยน้ำซาวเข้าน้ำท่าก็ได้กินหาย ถ้ายังไม่หายท่านให้เอารากช้าพลู รากกะพังโหม รากกระจับบก รากบัวหลวง หัวแห้วหมู บระเพ็ด จันทนฺแดง จันทนฺขาว มะตูมอ่อน ขมิ้นอ้อย ก้านเสดา ๓๓ ก้าน รวมยา ๑๑ สิ่งนี้ เอาเท่ากันต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ยาชโลมท่านให้เอารากโมง รากลำดวน รากไทรย้อย รากหญ้าแพรก รากตำลึง รากฟักเข้า ดินประสิวขาว ยา ๗ สิ่งนี้เอาเท่ากัน บดทำแท่งไว้ละลายน้ำซาวเข้าชโลมหายดีนัก ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๙ เดือน แลเป็นไข้สิ่งใดๆ ก็ดี ท่านว่ายังอยู่ในครรภรักษา แต่ว่ากุมารที่อยู่ในครรภ์นั้นแก่กล้าอยู่แล้ว ถ้าเป็นไข้ก็เป็นแต่ภายนอก เว้นไว้แต่เป็นไข้อหิวาตกะโรค ถึงดังนั้นก็ดี ถ้าเป็นฝีเอกแลฝีเอกตัดนั้น กุมารจึงจะอันตรธาน ก่อนมารดา ถ้ามิดังนั้นมารดาต้องกฤติยาคม คุณไสย แลกุมารที่อยู่ในครรภ์นั้นจึงจะตายก่อนมารดา ถึงจะตายก่อนมารดาก็จะพาเอามารดาไปด้วย ว่ามาทั้งนี้ด้วยอุบัติเหตุแห่งอกุศลกรรมของบุตรผู้นั้น ถ้าจะเป็นเหตุสิ่งใดๆ ให้ทำตามบุราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตรกลมใบ ๑ เก้าชั้นดุจบัตร์พระเกตุ เอาแป้งคลึงท้องด้วยคาถานี้ เถโร ปาปิม เต อังคปัจฺจังคาทิ อหํ ปัสฺสามิ กิมังคํ ปน สกลสรีรํ นิกขม ลหุ ปาปิม เสกตามกำลังวัน แล้วจึงเสกน้ำรดด้วยคาถานี้ ๗ คาบ สัน ฺติปักฺขา อปัตฺตนา สันฺติ ปาทา อวัญฺจนา มาตาปิตา จ นิกฺยขันฺตา ชาตเวทปฏิกกม สห สัจฺเจ กเต มัยฺหํ มหาปัชฺชลิโต สิขี วัชฺเชสิ โสฬส กริสานิ อุทกํ ปัตฺวา ยถา สิขี สัจฺเจน เมสโม นัตฺถิ เอสา เม สัจฺจปารมีติ แล้วจึงเอาแป้งที่คลึงท้องนั้นมา ปั้นเป็นรูปสิงห์ตัว ๑ รูปแร้งตัว ๑ รูปครุธตัว ๑ เอาผักยำ ๗ สิ่ง ดอกไม้ ๗ สิ่ง เอาใบมะม่วงกะล่อนรองบัตร์ เอาแป้งเอากระแจะแลน้ำมันหอมประพรมบัตร์บูชาแล้วเอาไปส่ง ทิศอาคเณย์ ๓ วันหาย ถ้าไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอารากละหุ่งแดง ยางงิ้ว ขิงสด บดละลายน้ำแรมคืนกินหาย ถ้ายังไม่หายให้เอาขนานนี้ ท่านให้เอาโกฐเขมา โกฐเชียง โกฐหัวบัว โกฐพุงปลา เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนเข้าเปลือก เทียนเยาวภานี ดอกสัตบุษย์ ดอกบัวขม ดอกบัวเผื่อน ดอกลินจง ดอกจงกลนี ผลผักชีล้อม ผลผักชีลา แฝกหอม ผลกระดอม บรเพ็ด ขมิ้นอ้อย ขมิ้นเครือ กระจับบก แก่นขี้เหล็ก ยา ๒๓ สิ่งเอาส่วนเท่ากันต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ยาชะโลมแก้เมื่อยขบขนานนี้ ท่านให้เอาใบขี้เหล็ก ใบผักเค็ด ใบน้ำเต้า ใบเงินใบทอง ใบหญ้านาง ดินประสิวขาว ดินสอพอง ยา ๘ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดทำแท่งไว้ละลายน้ำซาวเข้าน้ำดอกมะลิสดก็ได้ ชะโลมหายดีนักได้ใช้มามากแล้ว ถ้าสัตรีมีครรภ์ได้ ๑๐ เดือน แลสัตรีผู้นั้นเป็นคนบูราณมีชาติอันสูง เทพยดาจุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์ผู้นั้น ถ้าเป็นไข้ในอุทรสิ่งใดๆก็ดี ท่านให้ทำตามบูราณเสียก่อน ท่านให้ทำบัตร์กลม ๓ ชั้น เอาแป้งคลึงท้องเศกด้วยคาถานี้ ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สัจฺเจน โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพฺภัสฺส ชาติยา ชาโต นาภิยํ สัมฺผัสฺสานํ ปฏิฆาตาย อัพฺยาปัชฺฌปรมตายาติ แล้วจึ่งเอาแป้งคลึงท้องนั้นมาปั้นเป็นรูปสิงห์ตัว ๑ รูปครุธตัว ๑ รูปแร้งตัว ๑ เอาผัก ๗ สิ่ง กับเครื่องมัจฉะมังสะ ทั้งปวง แล้วเอาแป้งหอมน้ำมันหอมประพรม เอาธูปเทียนจุดบูชาจงดี เมื่อจะบูชาให้ว่าคาถานี้ตามกำลังวัน
ปูรัตฺถิมัสฺมึ ทิสาภาเค สันฺติ เทวา มหิทฺธิกา เตปิ ตุมฺห อนุรักฺขันฺตุ อาโรคฺยน สุเขน จ ภวตุ สัพฺพมังคลํ
รักฺขันฺตุ สัพฺพเทวตา สัพฺพ พุทฺธา นุภาเวน สทา โสตถี
รักฺขันฺตุ สัพฺพเทวตา สัพฺพ ธัมฺมา นุภาเวน สทา โสตถี
รักฺขันฺตุ สัพฺพเทวตา สัพฺพ สังฆา นุภาเวน สทา โสตถี
ภวันฺตุ เต
บูชา แล้วจึ่งเอาไปส่งทิศบูรพา ๓ วันหาย ถ้ายังไม่หายให้แต่งยาขนานนี้กิน ท่านให้เอาดอกบัวเผื่อน ชะเอมเทศ หมากสง จันทนฺแดง จันทนฺขาว บดละลายน้ำนมโค น้ำดอกไม้ ก็ได้กินหายดีนัก ยาชะโลมขนานนี้ ท่านให้เอาจันทนฺแดง จันทนฺขาว เชือกเขามวกแดง เชือกเขามวกขาว ชะลูด อบเชยเทศ ขอนดอก สน สัก กรักขี แก่นประดู่ เปลือกไข่เน่า เปลือกมะซาง เปลือกสันพร้านางแอ ดอกสัตบุษย์ ดอกบัวเผื่อน ดอกบัวขม ดอกลินจง ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี ดอกมะลิซ้อน ดอกมะลิลา ยา ๒๓ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ทำให้เป็นจุณ บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำดอกมะลิกินแลชะโลมแก้สาระพัดโรค ในครรภรักษาทั้งปวง ตั้งแต่เดือน ๑ ไปจนถึง ๑๐ เดือน เป็นกำหนดที่สุดนั้น ถ้าเป็นไข้สิ่งใดๆ ก็ดี ทั้งกินแลชะโลมหายสิ้น อย่าสงไสยเลย
( จบลักษณครรภรักษาแต่เพียงนี้ ให้แพทย์พึงรู้โดยสังเขป )


      ปุน จปรํ บัดนี้ จะว่าด้วยลักษณะครรภ์วิปลาศ ต่อไปตามเรื่องดังนี้โดยสังเขป ปุน จปรํ ยา อิตฺถี คัพฺภมาธาเรยย เตโช สมุฏฐานํ กามวิตักฺกํ อุปฺปันฺนํ อุทรํ นปฏิสันฺธิกํ วิตันฺตรายํ สัตฺตา โหนฺตีติ (ยา อิตฺถี) หญิงจำพวกใด (อาธาเรยฺย) ทรงไว้ (คัพฺภํ) ซึ่งครรภ์ (อุ ปฺปันฺนํ) อันบังเกิด (กามวิตักฺกํ) ซึ่งกามวิตกหนาไป (เตโชสมุฏฺฐานํ) ด้วยไฟราคอันเป็นสมุฏฐาน นั้นกล้านัก (สัตฺตา) สัตว์ทั้งหลาย (นปฏิสันฺธิกํ) ก็มิอาจตั้งมูล ปฏิสนธิขึ้นได้ (วิตันฺตรายํ) ก็มีอันตรายไปต่างๆ (โหนฺติ) ก็มี (อิติ) ด้วยประการดังนี้ (ยา อิตฺถี) หญิงพวกใดไม่ควรจะกินก็กิน (วิตักฺกาทิกํ) ซึ่งของอันเผ็ดร้อนเป็นต้นต่างๆ (สุวิตาทิสํ) ซึ่งของอันจะให้ลงท้องเป็นต้นต่างๆ (นานาวิสํ) คือ ยาที่จะให้แสลงโรคต่างๆ (อาโปสมุฏฺฐานํ) เป็นลักษณะแห่งธาตุน้ำกำเริบ (ตัส ฺส ปุคฺคลัสฺส) แห่งบุคคลผู้นั้นแล (กัปฺปวินาสํ) ก็มีอุปมาดังไฟประไลยกัลป์ อันจะพัดให้ฉิบหายเสียซึ่งสัตว์อันจะมาเอาปฏิสนธินั้น (อิมัสฺมึ คัพฺเภ) ในครรภ์แห่ง สัตรีนี้ (น ฐิตํ) ก็ไม่อาจตั้งมูลปฏิสนธิขึ้นได้ (อิติ) ด้วยประการดังนี้ (อปิจ) อนึ่งโสด (ยา อิตฺถี) สัตรีใด (โทสจิตฺตํ) มีจิตร์มากไปด้วยความโกรธ (ตุริตตุริตํ) ก็วิ่งไปมาโดยเร็ว (กทาจิ โกธักฺขณํ) เมื่อขณะโกรธบางทีก็ทอดทิ้งซึ่งตัวเองลง (ปหาริยํ) ยกมือขึ้นทั้งสองประหาร (อัตฺตานํ) ซึ่งตนเอง (อปิจ) อนึ่งโสด (ขราทิยา) หญิงปากร้าย (อโทสกํ) มิรู้จักซึ่งโทษแก่ตน (ปริภาสนํ) ย่อมด่าตัดพ้อเป็นอันหยาบช้า (สามิกํ) ซึ่งผัวแห่งตนก็ดี (อัญฺญชนํ วา) ซึ่งผู้อื่นก็ดี (ปรกัป์ปโทสํ) เขาทำโทษคือว่าทุบถองตีโบยด้วย กำลังแรงนั้นต่างๆ สัตรีผู้นั้นก็เจ็บช้ำ (อุทรํ) ซึ่งครรภ์แห่งหญิงนั้น (ปตติ) ก็ตกไป (อิติ) ด้วยประการดังนี้ (อปิจ) อนึ่งโสด (ยา นารี) หญิงพวกใด (ธาเรย์ย) ก็ทรงไว้ (คัพฺภํ) ซึ่งครรภ์ (อมนุสฺโสวา) คือ ภูต ปิศาจ หากทำโทษต่างๆ (น ฐิโต) ครรภ์นั้นก็มิได้ตั้งขึ้น (สาต๎รคุเณน วา) บางทีต้องสาตราคม คุณไสยเขากระทำก็ดี (ปุตฺตํ) ลูก (อิมัสฺมึ คัพฺเภ) อันอยู่ในครรภ์นั้น (ปัตฺตันฺเตว) ก็ตกไปแท้จริง (เอวํ) ด้วยประการดังนี้
( จบครรภ์วิปลาศทั้ง ๔ สถานโดยสังเขปแต่เพียงนี้ )


      ปุน จปรํ ที นี้จะว่าด้วยครรภ์ปริมณฑลต่อไปตามเรื่องดังนี้ ถ้าสัตรีผู้ใดมีครรภ์ตั้งแต่ได้ ๓ เดือน ขึ้นไปจนถึง ๑๐ เดือน แลเป็นไข้ดุจกล่าวมาแต่หนหลัง จะแก้ด้วยสิ่งใดๆ ก็มิฟังท่านให้แต่งยาขนานนี้กิน โกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐเชียง โกฐก้านพร้าว เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนเยาวภานี เทียนสัตบุศย์ ดอกสัตบุศย์ ดอกบัวเผื่อน ดอกบัวขม ดอกลินจง ดอกจงกลนี กฤษณา กะลำพัก ชะลูด ขอนดอก จันทนฺแดง จันทนฺขาว สน กรักขี เทพทาโร สมุลแว้ง อบเชยเทศ รากสามสิบ ยา ๒๗ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ไข้ในครรภรักษาตลอดไปแต่ต้นจนปลายดีนัก
     ภาค หนึ่งท่านให้เอา แก่นขี้เหล็ก แก่นสะเดา แก่นสน จันทนฺแดง จันทนฺขาว รากหญ้านาง ผลมะขามป้อม ผลกระดอม บอระเพ็ด ผลมะตูมอ่อน หัวแห้วหมู ฝักราชพฤกษ์ ก้านสเดา ๓๓ ก้าน ยา ๑๓ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ครรภรักษาแลแก้ไข้เป็นต่างๆ ให้จับให้ลงให้รากเป็นโลหิต แลพิษโลหิตทำต่างๆ ถึงว่าคลอดแท้งลูก โลหิตทำให้ร้อนแลหนาว ให้ระส่ำระสายก็ดี ให้กินยานี้หายสิ้น ได้ใช้มามากแล้ว ถ้ามีครรภ์ให้ลงโลหิต ถ้าจะแก้ให้เอาสานส้ม พริกไทย ฝาง ขันทศกร ต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ภาคหนึ่งเอากล้วยไม้ เข้าติดน่าตะโพน สานส้ม พริกไทย หน่อยหนึ่ง บดละลายน้ำมะงั่วกินเท่าผลพุดทราหาย ถ้ามีครรภ์ให้โลหิตตกทวารหนักทวารเบา ท่านให้เอาขิงแห้ง ชะเอม แก่นสนเทศ บดละลายน้ำสุรากินหาย ภาคหนึ่งท่านให้เอาเปลือกมะเดื่อดิน รากช้าพลู รากกล้วยตีบ ยา ๓ สิ่งนี้ทำเป็น ๓ ส่วน เอาน้ำผึ้งส่วนหนึ่งบดกินเช้าหาย ภาคหนึ่งเอาขมิ้นอ้อย ไพล ผลผักชีล้อม บดละลายมูตร์โคกินหาย ถ้าไม่หายท่านให้เอาเปลือกมะม่วงคัน เปลือกพยอม (สามใบต่อ) รากทุงเทง ต้ม ๓ เอา ๑ กินจอกหนึ่งหาย ถ้ามีครรภ์ให้เป็นบิด ท่านให้เอาเกสรบัวหลวง ผลทับทิมอ่อน เปลือกมะขาม ครั่ง บดละลายน้ำร้อนกินหาย ถ้าไม่หายเอาผลจันทนฺหอม ๓ ผล ทะลายหมากดิบยา ๓ คืบ บดละลายน้ำสุรากินหาย ถ้าไม่หายให้เอาลูกบิดเท่าอายุ เอาเหล็กบิดไชลงที่ไม้สักสามรู แล้วบิดคลายออก เอาขุย ๑ ผลเบ็ญกานี เม็ดในมะกอก เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ถ้าไม่หายเอาเม็ดในมะม่วงกะล่อน ๕ เม็ด สน สัก กรักขี กฤษณา ผลจันทนฺเกาะ ผลเบ็ญกานี เปลือกปะโลง ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากันต้ม ๓ เอา ๑ เอาน้ำปูนใสเป็นกระสาย ต้มกินหาย ยาชื่อมหาอุดมแก้บิดขนานนี้ ท่านให้เอาครั่ง ผลเบ็ญกานี สีเสียดเทศ ชันไม้ตะเคียน ขมิ้นอ้อย ผลจันทนฺ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากันทำเป็นจุณแล้ว เอาใส่ในผลทับทิมสุม ไฟแกลบให้สุกแล้ว บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำปูนใส เอาน้ำผึ้งรำหัด กินหายดีนักได้ใช้มาแล้ว ถ้าหญิงมีครรภ์ได้ ๓ เดือน แลให้เป็นบิดปวดมวนมูกเลือด เอาผลในมะกอกตำให้แหลก คางปลาช่อน ต้มกินหาย ถ้าหญิงมีครรภ์ได้ ๔ เดือน แลให้เป็นบิดปวดมวนมูกเลือด ขนานนี้ท่านให้เอา จันทนฺแดง จันทนฺขาว หว้านกีบแรด หว้านร่อนทอง สังกะระณี เนระพูสี ผลจันทนฺ ดอกจันทนฺ ผลเบ็ญกานี ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน เอาผลตะบูนเท่ายาทั้งหลาย ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ละลายน้ำผลพลับจีนกินหาย ยาชื่อกุมาระรักษาขนานนี้ ท่านให้เอาเทียนทั้ง ๕ ผลเบ็ญกานี ผลจันทนฺ ดอกจันทนฺ เนระพูสี ผลสาระพัดพิษ หว้านกีบแรด หว้านร่อนทอง จันทนฺทั้ง ๒ กะถินแดง รากไคร้เครือ ผลตะบูน สันพร้านางแอ ๓ ส่วน ผลตะลุมพุก ๔ ส่วน ตุมกาแดง ๕ ส่วน ยา ๒๙ สิ่งนี้ ทำให้เป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำจันทนฺกินแก้บิด แลสมาน ลำไส้ รักษากุมารในครรภ์ไว้ แลแก้สัตรีโทษ แลอติสารครรภรักษาหายแล
     ถ้า หญิงมีครรภ์แลให้ลงโลหิตก็ดี แลให้ตกหนอง เป็นมูกเป็นเลือดก็ดี ท่านให้เอา รากเท้ายายม่อม สน เอาสิ่งละ ๑ บาท ต้มด้วยสุราครึ่ง ๑ น้ำครึ่ง ๑ กินหาย ถ้าหญิงมีครรภ์ได้ ๗ เดือน ๘ เดือน แลกุมารในครรภ์นั้นไม่ไหวไม่ติง ไม่ดิ้นไม่รนเลย ถ้าจะแก้เอา แห้วสด กระจับสด เกสรบัวหลวง ดอกจงกลนี รากรักซ้อน รากสามสิบ เทียนเข้าเปลือก ขันทศกร ยา ๘ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันทำเป็นจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำนมโคกิน กุมารในครรภ์ไหวตัวติงตัว ได้ดีนัก ภาคหนึ่งท่านให้เอา แห้วสด กระจับสด ชะเอมเทศ หญ้าเกล็ดหอยใหญ่ เปลือกสะเดา ยา ๕ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดละลายน้ำนมโคกิน กุมารดิ้นรนได้ดีนัก
    ภาค หนึ่งท่านให้เอา ดอกจงกลนี ดอกบัวหลวง รากขนาก ชะเอมเทศ ขันทศกร ยา ๕ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดละลายน้ำนมโคกิน กุมารที่อยู่ในครรภ์นั้นเป็นปรกติดี
     ถ้า หญิงมีครรภ์แต่เดือน ๑ ไปจนถึง ๒ เดือน ๓ เดือน แลให้เป็นพรรดึกแล้วให้จุก ให้แดกอก ก็ดี ถ้าจะแก้ท่านให้เอาเบ็ญจกระดอม แก่นขี้เหล็ก ต้ม ๓ เอา ๑ กินหายแล กล่อม กุมารในครรภ์มิให้เป็นอันตรายดีนัก
    ถ้า หญิงมีครรภ์ได้ ๔ เดือน ๕ เดือน แลให้ผูกเป็นพรรดึกก็ดีเป็นบิดก็ดี ถ้าจะแก้ท่านให้เอาผลเถาคันที่สุกนั้นมาล้างเอาเนื้อออกเสีย เอาแต่เมล็ดในห่อผ้าทุบให้แหลก แล้วแช่น้ำไว้คืนหนึ่ง แล้วจึ่งเอาหอยโข่งสดทั้งเปลือก มาต้มขึ้นกับเถาคันให้สุก แล้วจึ่งกินแต่ถ้วยน้ำชาหนึ่งหายแล
   ถ้า หญิงมีครรภ์ได้ ๖ เดือน ๗ เดือน แล้วให้เป็นพรรดึก ให้จุกเสียด ถ้าจะแก้ท่านให้เอา ไพล ใบสลอด ยา ๒ สิ่งนี้ เอาสิ่งละ ๑ บาท ขิงสด ๒ สลึง ต้ม ๓ เอา ๑ แล้วเมื่อจะกิน ให้เอาพริกไทย ๙ เม็ด กระเทียม ๓ กลีบ เกลือ ๓ เม็ด จันทนฺหอมปรุงลง กินสักครู่หนึ่ง จึ่งบดใบพลูแก่ทาด้วยหายดีนัก
    ถ้า หญิงมีครรภ์ได้ ๘ เดือน ๙ เดือน ๑๐ เดือน แลให้เป็นพรรดึกก็ดี เป็นบิดก็ดี ถ้าจะแก้ท่านให้เอา ดอกบัวน้ำทั้ง ๕ ดอกจำปา ดอกกระดังงา ยา ๗ สิ่งนี้เอาสิ่งละ ๑ บาท เอาตรีกฏูก มหาหิงคุ์ ชะเอมเทศ ยา ๕ สิ่งนี้เอาสิ่งละ ๑ บาท ตำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ละลายน้ำผึ้ง น้ำร้อน น้ำอ้อยก็ได เอาพิมเสนรำหัดกินหายดีนัก
      ถ้า หญิงมีครรภ์แลกุมารนั้นดิ้นรนนัก ถ้ามิดังนั้นมารดากินของแสลง คือของร้อนแลเผ็ดเข้าไป กุมารนั้นจึ่งดิ้นรนนัก ถ้าจะแก้ให้ท่านเอายาชื่อว่ากล่อมนางนอนนั้นให้กิน ตั้งแต่ครรภ์ได้เดือน ๑ ไปจนถึง ๑๐ เดือน เป็นกำหนด เพื่อจะมิให้ครรภ์เป็นอันตรายด้วยพิษต่างๆ คือ อสรพิษขบเอาแม่ก็ดี แม่ออกทรพิษก็ดี หรือเป็นฝีภายในทั้ง ๕ ประการก็ดี อันบังเกิดแก่หญิงซึ่งมีครรภ์อ่อนแลแก่ก็ดี พิษนั้นมากนักดุจกล่าวมานี้ ท่านให้แต่งยาชื่อว่ากล่อมกุมารขนานนี้ขึ้นไว้ให้กินหาย หวังจะกันซึ่งอันตรายในครรภ์ทั้งปวง แต่บรรดาที่จะเป็นต่างๆ ให้ถึงซึ่งความฉิบหายนั้น ยาชื่อว่ากล่อมกุมารขนานนี้ ท่านให้เอาเทียนทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๙ เกสรบัวทั้ง ๕ รากไคร้เครือ สังกะระณี ชะลูด ขอนดอก ชะเอมเทศ น้ำประสานทอง จันทนฺทั้ง ๒ กฤษณา กะลำพัก ผิวมะตูมอ่อน ชะมด พิมเสน ยาทั้ง ๓๒ สิ่งนี้เอาสิ่งละ ๒ สลึง แล้วทำเป็นจุณ เอาน้ำดอกไม้ เป็นกระสายบดทำแท่งไว้ ถ้าจะแก้กระสับกระส่าย ละลายน้ำดอกไม้ ชะมด พิมเสน รำหัด กิน ถ้าจะแก้เชื่อม ละลายน้ำกฤษณากิน ถ้าจะแก้มูกเลือกละลายน้ำเปลือกแคแดงแซกฝิ่นกิน ถ้าลงหนักละลายน้ำกล้วยตีบกิน ถ้าจแก้เสมหะติดลำคอ ละลายน้ำมะแว้งเครือกิน ถ้าจะแก้ร้อนละลายน้ำดอกไม้ทั้งกินทั้งชะโลม แก้ในกุมารรักษาได้ทุกประการหายดีนัก ถ้าหญิงมีครรภ์แก่อยู่แล้ว กุมารดิ้นรน กระสับกระส่ายนัก แลให้ร้อนในอุทรเป็นกำลัง ท่านให้เอาเปลือกมะตูมฝนด้วยน้ำปูนใสทาให้ทั่วท้อง แก้กระวนกระวายกุมารอยู่ในครรภ์นั้นก็เป็นปรกติ
     ถ้าหญิงมีครรภ์แก่แลคลอดบุตรนั้นยากนัก ท่านให้เอาขมิ้นอ้อย ๓ ชิ้น ฝานดังนี้  สมอ เทศ ๙ ผล สมอไทย ๙ ผล สมอพิเภก ๙ ผล เถาวัลย์เปรียงยาวคืบหนึ่ง ๓ ท่อน ใบมะกาเต็มกำมือ กลั้นใจตัดหัวตัดท้าย ต้ม ๓ เอา ๑ กินให้ลงไป ๒ เวลา ๓ เวลา บุตรนั้นคลอดง่ายสดวกดีนัก หญิงมีครรภ์บุตรไม่ออก ท่านให้เอาขี้เทา ลูกโคในท้อง ใบปีบบดทาฝ่าเท้า ถ้าบุตรคลอดแล้วให้เอาน้ำล้างยานั้นเสียโดยเร็ว ถ้าไม่ล้างไส้พุงจะขาดออกมา เป็นยาเสดาะลูก ดีนัก ได้ใช้มาแล้ว
    ยา ชักมดลูก ขนานนี้ท่านให้เอา รากมะยมตัวผู้ รากส้มป่อย รากมะขามขี้แมว ใบขนุน ยางแสมเทศ ต้ม ๓ เอา ๑ กินเป็นยาชักมดลูกดีนัก ได้ใช้มามากแล้ว
    ถ้า หญิงคลอดบุตรแลรก ขาดอยู่ในครรภ์นั้น ท่านให้เอายอดฝ้ายแดง ๗ ยอด พริกไทย ๗ เม็ด ขิง ๗ ชิ้น กระเทียม ๗ กลีบ บดด้วยสุรากินเป็นยาเสดาะรก ดีนัก ได้ใช้มามากแล้ว
   ถ้า หญิงมีครรภ์แลกุมารตายในครรภ์นั้น ท่านให้เอาโคนกล้วยตานีเน่า ผลฟักเขียว ผักแว่น เอาส่วนเท่ากัน บดพอก ท้องน้อยครู่หนึ่งบุตรจะตก ออกมา เป็นยาเสดาะลูกตายในท้องดีนัก
     ถ้า หญิงมีครรภ์แลให้เป็นลมจับนิ่งไป ให้ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ให้หน้ามืดไปคนเรียกก็ไม่ได้ยิน ท่านให้แต่งยานัดถุ์ ขนานนี้ ให้เอาพริกไทยล่อน เปลือกไข่ฟัก ดีปลี เบี้ยตัวผู้เผาไฟ ใบหนาด เทียนดำ น้ำประสานทอง รังหมาร่า ชะเอม ข่าแห้ง อบเชยเทศ เอาสิ่งละ ๑ บาท กานพลู ๒ สลึง ขิงแห้ง ๑     บาท พิมเสน แมลงมุมตายซาก ๓๓ ตัว ยา ๑๕ สิ่งนี้ ทำให้เป็นจุณแล้วจึ่งเอา ชะมดเชียง พิมเสนแซกบดให้เป็นปรมาณู ไว้นัดถุ์แก้ลมอันชื่อว่า อุทรสุนทรวาต แลลมวาตภัคค์ แลลมอันชื่อว่าวาโยเนาวนารี ลมอันบังเกิดแก่สัตรีอันมีครรภ์ก็ดี ออกลูกแล้วก็ดี แลโลหิตตีขึ้นทำเพศต่างๆ ดุจดังปีศาจเข้าสิงอยู่ในตัวก็ดี ให้เอายาขนานนี้นัดหายยาขนานนี้ชื่อ ธนูกากะ กาย่อมกลัวธนูฉันใดก็ดี อันว่าลมโลหิตปีศาจทั้งหลายนั้นย่อมกลัวยาขนานนี้ดังกากลัวธนูฉนั้น
    ถ้า หญิงมีครรภ์แลให้จุกให้เสียดให้รากแลให้ลงให้เหงื่อตกนักเพื่อลมอุทรวาต เป็นป่วงลมก็ดี ถ้าจะแก้ท่านให้เอา เทพทาโรเกล็ดปลาช่อนเผาไฟ ใบพลวงเผาไฟ รากขัดมอน ผลจันทนฺ ขิงสด กระเทียมกรอบ ยาทั้งนี้เอาสิ่งละ ๒ สลึง พิมเสน ๑ บาท ยา ๙ สิ่งนี้ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำลูกจากกินหาย ยาชะโลมแก้เหงื่อตกท่านให้เอาก้ามปูทเล ผลถั่วภู ดินสอพอง ผิวมะตูมอ่อน เปราะหอม หว้านน้ำ พิมเสน ยา ๗ สิ่งนี้ เอาส่วนเท่ากัน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ชะโลมแก้ตัวเย็นหายดีนัก
( จบลักษณะครรภ์ปริมณฑลโดยสังเขปเพียงนี้ )


    ตัสฺมึ อปรภาเค กุมารปฏิสันฺธิกํ ทสมาเสสุ ปกติยา อนันฺตราเยน เอกวาโต นาม กัมฺมัชฺชวาโต นิกฺเขโป โหติ ปัตฺตสีเส อุฏฺฐายาติ (ตัสฺมึ ขเณ) ในขะณะนั้น (กุมาเร) ในเมื่อ กุมารกุมารีทั้งหลาย (ปฏิสันฺธิกํ) มาเอาปฏิสนธิ (มา ตุคัพฺกํ) ในครรภ์แห่งมารดา (อปรภาเค) อยู่จำเนียรกาลมาเมื่อน่า (อนันฺตราเยน) หาอันตรายมิได้ (ปกติยา) ก็มีชีวิตรเป็นปรกติอยู่ (อุทเร) ในอุทรแห่งมารดา (ยาว ทสมาเส) ตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้นตราบเท่าถ้วนทศมาศ คือ ๑๐ เดือนเป็นกำหนด ตามธรรมดาประเพณี (เอกวาโต) ยังมีลมจำพวกหนึ่ง (กัมฺมัชฺชวาโต นาม) ชื่อว่า กัมมัชชวาต (นิกฺเขโป) ก็บังเกิดพัดกำเริบแห่งเส้นแลเอ็นที่รัดรึงตัวกุมารนั้นไว้ (ปัต ฺตสีเส) ก็ให้กลับเอาศีร์ษะลงเบื้องต่ำ (นักฺขัตฺตนิกฺขมํ) ฤกษยาม ดีแล้ว กุมารแลกุมารีทั้งหลายนั้นก็คลอดออกจากครรภ์แห่งมารดานั้น (ต้น ฉบับเป็นภาษาบาฬีอยู่กุลบุตรผู้มีปัญญาน้อยก็จะไม่เข้าใจ จึงแปลออกเป็นภาษาไทยดังนี้) ในเมื่อกุมารแลกุมารีทั้งหลาย คลอดออกจากครรภ์แห่งมารดา อันจิตรคิดว่าจะแทนคุณแห่งมารดานั้น ก็เคลิ้มไปให้ลืมเสียสิ้น เพราะว่าสดุ้งตกใจกลัว ด้วยลุอำนาจแก่ลมกัมมัชชาวาตนั้น อุปไมย ดังบุรุษอันตกลงจากที่อันสูง โดยประมาณได้ร้อยชั่วบุรุษ อันความสดุ้งตกใจก็มีอุปไมยดังนั้น ถ้าจะอุปมา ความเจ็บนั้นฉันใดก็ดี ก็มีอุปไมยดังช้างสารตัวกล้าอันบุคคลขับไล่ให้ออกจากช่องดาล อันน้อยขัดมิได้ก็จำไปด้วยกำลังกลัวหมอแลควาน อันว่าความเจ็บปวดสุดที่จะพรรณา เหตุดังนั้น กุมารแลกุมารีทั้งหลายจึ่งบังเกิดโรคพยาธิต่างๆเพราะหมอผดุงครรภ์แล แม่มด ข่มขี่เอาด้วยกำลังแรง อันว่ากุมารแลกุมารีที่อยู่ในครรภ์นั้น กระดูกแลเส้นเอ็นยังอ่อนอยู่คลาดจากกันสิ้น ซึ่งว่าดังนี้ด้วยกุมารแลกุมารีเป็นปุถุชน อันว่าประเพณีพระบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น จะได้ลุอำนาจแก่ลมกัมมัชชวาต แลสดุ้งตกพระไทยไหวหวั่นนั้นหามิได้ แลเมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นจะได้ทนทุกขเวทนาเหมือนปุถุชนนั้นก็หามิได้ ทรงนั่งผินพระภักตร์ออกสู่ประเทศอุทร แห่งสมเด็จพระพุทธมารดาพระพุทธองค์ทรงสมาธิดุจดังพระธรรมกถึก สำแดงธรรมเทศนาจบ แล้วแลลงจากธรรมาศนฺ ฉนั้นพระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ปฐมจินดานี้ ว่าแพทย์ผู้ใดจะพยาบาลรักษากุมารแลกุมารีสืบต่อไปเมื่อน่า ให้ดูกุมารแลกุมารีเมื่อแรกตกฟาก นั้นก่อน อันว่ากุมารแลกุมารีทั้งหลาย เมื่อลุอำนาจแก่ลมกัมมัชชวาต พัดให้กลับศีร์ษะลงเบื้องต่ำนั้น เมื่อกุมารแลกุมารีนั้นตกใจดิ้นเกลือกไปมือคว้าเท้าถีบฉีกสายรกนั้นให้ขาด เสียสิ้น อันว่าโลหิตในอุทรแห่งมารดา แลโลหิตในสายรกอันขาดออกนั้น กระจายออกอยู่ในอุทรประเทศ แห่งมารดานั้น ก็พลัดเข้าไปในปากแห่งกุมารแลกุมารีนั้นบ้าง แลออกตามช่องทวารของมารดานั้นบ้าง เหตุนั้นจึงว่าไว้ให้แพทย์พึงรู้ดังนี้ ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาคว่ำออกมาแลร้องขึ้น
     อัน ว่ากุมารแลกุมารีทั้งหลายก็รากโลหิตที่อมอยู่นั้นออกมาจากปากประมาณเท่า ฟองแดงไก่ ถ้าเป็นดังนี้ท่านทายว่ากุมารแลกุมารีผู้นั้นเลี้ยงง่าย โรคนั้นเบาบางจะมิสู้มีตาน ทราง เลยจนโตใหญ่ ถึงจะมีมาก็ตามธรรมเนียมกุมารนั้น แม้จะมีโรคมาประการใดแพทย์จะรักษาก็ง่ายนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์แห่งมารดาหงายออกมาแล้วร้องขึ้น อันว่าโลหิตที่กุมารอมอยู่นั้น ก็เลื่อนเข้าไปในคอตกลงไปในอุทรแห่งกุมาร ท่านทายว่าเลี้ยงยากนักจะเกิดโรคต่างๆ เขม่า ตานทรางทั้งปวงจะบังเกิดมากนัก ถ้าแลค่อยวัฒนาการขึ้นก็จะบังเกิดโรคหิตแลฝีต่างๆ แล้วจะให้เป็นตานทรางป้าง ม้ามกระสาย แลเป็นท้องรุ้งพุงมาร เป็นฝีภายในทั้ง ๕ ประการ ก็เพราะโทษโลหิตร้ายที่กุมารกลืนเข้าไปนั้น จึงให้บังเกิดโรคต่างๆดุจดังกล่าวมานี้ ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาตะแคงออกมาจะเป็น เบื้องซ้ายหรือเบื้องขวาก็ตาม
     อัน ว่าโลหิตที่กุมารอมอยู่นั้นก็พลัดเข้าไปได้บ้างตกออกมาบ้าง ท่านทายว่ากุมารนั้นจะเลี้ยงไม่ยากนักไม่ง่ายนักเป็นปานกลาง โรคไภยจะเกิดเป็นปานกลางมิพอเป็นไรนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาแล้วแลตายด้านไปร้องมิออกได้ ถึงจะหงายจะคว่ำก็ดีจะตะแคงเบื้องซ้ายเบื้องขวาก็ดี ถ้าร้องมิออกได้แต่ว่ายังหายใจอยู่ ท่านให้พลิกตัวกุมารนั้นให้คว่ำลงเสียก่อน แล้วจึ่งแก้ให้ร้องขึ้น ถ้ายังร้องมิออกได้ ห้ามอย่าให้แม่มดรับก่อน ให้พ่นด้วยหัวหอมแลเปราะหรือไพลตามเคยนั้นเถิด ถ้าร้องขึ้นได้อันว่าโลหิตที่กุมารอมอยู่นั้นพลัดออกจากปากได้กุมารนั้นจึ่ง จะไม่สู้มีโรคดังกล่าวมาแต่หนหลังนั้น ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดอกจากครรภ์มารดานั้นยากนัก ให้ขัดขวางด้วยเหตุสิ่งใดๆก็ดี บางทีหมอผดุงครรภ์แม่มดมิได้รู้จักกำหนดแห่งกุมารนั้นจะคลอดเมื่อใด ประการหนึ่งไม่รู้ผันแปรแก้ไขในการกุมารนั้นเลย ก็ข่มเหงเอาออกมาด้วยกำลังแรงของตน กุมารนั้นคลอดโดยขัดขวางแลคอกุมารนั้นเคล็ดแคลง บางทีกุมารนั้นกระทบลงกับฟากก็มีบ้าง แลกุมารผู้นั้นเมื่อค่อยวัฒนาการขึ้นมาก็มักเป็นฝีที่คางที่ฟองดันแลที่คอฝี ทั้ง ๓ ประการนี้ย่อมเป็นแต่ยังเด็กก็มี บางทีอายุได้ ๑๕, ๒๐, ๓๐, ปี แล้วจึ่งเป็นก็มี แลให้เป็นฝีเอ็น ฝีประคำร้อย , ฝีคัณฑมาลา , ฝี ทั้ง ๓ ประการนี้ย่อมเป็นด้วยกระทบช้ำชอกมา แต่เมื่อคลอดจากครรภ์มารดานั้น ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์มารดาได้ ๗ วันนั้น ถ้าจะใคร่รู้ว่ากุมารนั้นจะเลี้ยงง่ายหรือยาก ท่านให้ดูเมื่อได้ครบ ๗ วันนั้น ถ้าเห็นสีที่ยอดอกแห่งกุมารนั้นแดงดังดอกสัตบุษย์ แลดอกตะแบกช้ำ บางทีเป็นสีควันเทียนทั้ง ๓ อย่างนี้ ถ้าเห็นสีใดสีหนึ่งก็ดี แลโตประมาณเท่าใบพุดทรานั้น ท่านทายว่ากุมารนั้นจะเลี้ยงยากนัก ถ้าเห็นสีดังหม้อใหม่ ท่านทายว่ากุมารนั้นจะเลี้ยงเป็นปานกลาง ถ้าเห็นสีดังหม้อใหม่อ่อนๆท่านทายว่ากุมารนั้นจะเลี้ยงง่ายนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๓ วัน ท่านให้ดูที่นาภีพ้นสะดือขึ้นมาถึงยอดอก ถ้าเห็นเป็นแผ่นอยู่เท่าใบพุดทราแลใบมะขามก็ดี ท่านว่าให้เกรงลมอันชื่อว่าสุนทรวาต ใน ๓ สัตตาหะ หรือสัปดาหะ คือใน ๒๑ วันข้างน่าไป ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเป็นดังกล่าวมานี้ ถึงแก้ไว้รอด ไปเมื่อปลายมือก็เป็นต่างๆ ถ้าจะแก้ให้แก้ด้วยยาทุเลา ถ้าจะถ่ายยาเพื่อแผ่นเสมหะที่บังเกิดในอุทรนั้น ให้กระจายเสียให้ได้จึ่งจะคลายโรคนั้น ถ้าแลมิฟังแลแผ่นเสมหะนั้นใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ให้แพทย์พึงรู้วาใน ๓ สัตตาหะ คือ ๒๑ วันจะไม่รอดถ่ายเดียว ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเป็น ดาลเสมหะอยู่ข้างอุระเบื้องขวา ถ้าเป็นดังกล่าวมาแต่หลังนั้น ท่านว่ากุมารนั้นมักดูสูง กินเข้าดื่มนมมักอาเจียรแลให้อุจจาระปัสสาวะเหลืองดังนี้ เป็นกำเนิดแห่งกองลมวาตภัคค์ ถ้าแลแผ่นเสมหะยังค้างอยู่ จักทำให้กายนั้นซูบผอม ถ้าแลแผ่นเสมหะนั้นเติบขึ้นกว่าเก่า จักทำให้ลงท้องขึ้นแล้วจะให้ชักเท้ากำมือกำตาช้อนดูสูง แล้วจะให้เชื่อมให้มึนเมื่อยหอบ แลให้อาเจียรกินเข้าดื่มนมไม่ได้ ถ้าแลกุมารกุมารีผู้เป็นดังนี้ท่านว่าจะรอดส่วน ๑ จะไม่รอด ๒ ส่วน ถ้าแลตัวร้อนเป็นเวลาให้ชักเท้ากำมือกำตาช้อน ดูสูง เป็นดังกล่าวมานี้ท่านว่าไม่รอดเลยถ่ายเดียว ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใด แรกคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๗ วัน ๑๑ วัน ๑๕ วัน ๒๑ วันนั้น แลให้ขอบตาเขียวนอนมักสดุ้ง ตาช้อนดูสูง ให้ชักเท้ากำมือกำ หลังแข็งท้องขึ้นลิ้นกระด้างคางแข็ง ท่านว่ากำเนิดลมสุนทรวาต แลลมวาตภัคค์แลสะพั้นไฟ ซึ่งมาว่าทั้งนี้เพราะกุมารอมก้อนโลหิตแห่งมารดาออกมาแล้วกลืนเข้าไป จึ่งบังเกิดโทษนั้นต่างๆ ถ้าแลกุมารกุมารีเป็นดังกล่าวมานี้ทายว่าจะตาย ๑๐ ส่วน จะรอดสักส่วน ๑ อย่าสนเท่ห์เลย ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาแล้วแลกำเนิดอันจะเป็นเหตุที่จะให้ บังเกิดโรคต่างๆนั้น คือสำรอก ๗ ครั้ง เมื่อรู้ชันคอนั้นครั้ง ๑ เพราะเส้นเอ็นนั้นไหว ทรางจึ่งพลอย ทำโทษเอาครั้ง ๑ เมื่อรู้นั่งกระดูกสันหลังคลาดทรางจึ่งพลอยทำโทษครั้ง ๑ เมื่อรู้คลานนั้นเพราะว่าตะโพกแลเข่านั้นเคลื่อนทรางจึ่งพลอยทำโทษครั้ง ๑ เมื่อดอกไม้ (คือฟัน) ขึ้นทรางจึ่งพลอยทำโทษครั้ง ๑ เมื่อรู้ย่างเพราะว่ากระดูกทั้ง ๓๐๐ ท่อนนั้นสะเทือนไหว แลเส้นเอ็นกระจายสิ้น ท่านว่าสำรอกกลางทรางก็พลอยทำโทษครั้ง ๑ เมื่อรู้ยืนรู้ย่าง เพราะว่าไส้พุงตับปอดนั้นคลอน ท่านว่าสำรอกใหญ่ให้ระวังจงดีเถิด ทรางก็พลอยทำโทษครั้ง ๑ ซึ่งว่ามาทั้งนี้ธรรมดาวิไสยมนุษย์ทุกๆคน มิได้เว้นเลย เหตุดันี้ท่านจึ่งประกาศสรรพคุณยา ไว้ให้กุมารกินเป็นยาประจำท้องทุกเดือน หวังจะกันเสียซึ่งสำรอกแลตาน ทรางตามประเพณีดุจดังกล่าวมานี้
     ถ้า แลกุมารกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์มารดาได้เดือน ๑ ท่านให้เอา ใบกระเพรา ใบเสนียด ใบตานหม่อน บรเพ็ด บดละลายน้ำท่า ให้กินประจำท้องกันสำรอกเด็กในเดือน ๑ ดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๒ เดือน ท่านให้เอาใบคนทีสอ ใบเสดา ใบผักขวง ใบขอบชะนางแดง บรเพ็ด บดละลายน้ำร้อนให้กินเป็นยาประจำท้อง กันสำรอกใน ๒ เดือน ดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๓ เดือน ท่านให้เอาใบสวาด ใบขอบชะนางขาว ใบกระพังโหม บรเพ็ด บดละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๓ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๔ เดือน ท่านให้เอาผักกระเฉด ใบทับทิม ใบตานหม่อน ใบเสนียด บรเพ็ด บดละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๔ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๕ เดือน ท่านให้เอาใบผักคราด ใบหญ้าใต้ใบ ใบกระทืบยอด ใบกระพังโหม บรเพ็ด บดละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๕ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๖ เดือน ท่านให้เอาใบฝ้ายแดง ใบกระทุ่มนา ใบของชะนางแดง ใบหนาด บดทำแท่งละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๖ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๗ เดือน ท่านให้เอาใบนมพิจิตร์ ใบมะกล่ำเครือ ใบสมอพิเภก ขมิ้นอ้อย บรเพ็ด บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๗ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๘ เดือน ท่านให้เอาใบมะเดื่อ ใบพิมเสน ไพล ขมิ้นอ้อย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๘ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๙ เดือน ท่านให้เอาใบมะขวิดอ่อน ใบสะแก ไพล ขมิ้นอ้อย บรเพ็ด บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๙ เดือนดีนัก ถาแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๑๐ เดือน ท่านให้เอาใบคนทีสอ ใบคนทีเขมา ขมิ้นอ้อย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อน ให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๑๐ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๑๑ เดือน ท่านให้เอาใบเสนียด ใบผักคราด ใบปีบ ใบระงับ ใบขี้กาแดง ใบขี้กาขาว ใบโคกกะออม ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา ไพล กระทือ ตรีกระฏุก บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๑๑ เดือนดีนัก ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๑๒ เดือน ท่านให้เอาใบเทียนย้อมมือกำมือ ๑ ขมิ้นอ้อย บรเพ็ด ใบมะคำไก่ ใบหนาด ใบคนทีสอ ตรีกระฏุก ไพล ขิง การะบูร เม็ดผักกาด กระเทียม หอม สานส้ม ดินประสิวขาว บดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนให้กินประจำท้องกันสำรอกใน ๑๒ เดือนดีนักอย่าสงไสยเลย
      ถ้า แลกุมารสำรอกให้สอึก ท่านให้เอาเข้าตอก เกลือบดละลายน้ำมะงั่วกินหาย ถ้าแลกุมารสำรอกให้เป็นหวัดก็ดีลงท้องก็ดี ท่านให้เอาแมลงมุมตายซาก ๗ ตัว หางนกยูงเผาไฟ เปรียง พระโค บดละลายน้ำร้อนกินหาย ถ้าแลกุมารสำรอกให้ลงแลราก ท่านให้เอาลูกมะตูมอ่อน ผักเสี้ยนผี ใบคนทีสอ ต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ถ้าแลกุมารสำรอกเท่าใดๆก็ดี ท่านให้เอาเปลือกมะขามยาวคืบหนึ่งต้มด้วยน้ำอ้อยแดง ต้ม ๓ เอา ๑ กินหาย ถ้าแลกุมารให้ลงท้องนัก ให้เอาไม้วัดแต่สะดือกุมารนั้นลงไปถึงปลายเท้า แล้วจึ่งเอาไม้ไปวัดต้นมะขามตั้งแต่พื้นดินขึ้นไป แล้วจึ่งทำเคล็ดกลับไม้เสียแล้วจึ่งถากย้อนขึ้นไป แต่พันปลายไม้นั้น ๑ พริก ๗ เม็ด ขิง ๗ ชิ้น กระเทียม ๗ กลีบ บดละลายน้ำเหล้ากินหายดีนัก
    ถ้า กุมารเลี้ยงยากท่านให้เอาดอกชุมเห็ดเทศ ขมิ้นอ้อยบดทา ตัวกุมารดีนัก ภาค ๑ ท่านให้เอาไพล ๓ ชิ้น พริกไทย ๓ เม็ด บดแล้วจึ่งเสกด้วยคาถานี้ สัพฺเพ เทวา ปิสาเจว อาฬวกาทโยปิ จ ขัคฺคํ ตาลปัตฺตํ ทิสฺวา สัพฺเพ ยักฺขา ปลายันฺติ แล้วพ่นกระหม่อม ทารักแร้ ทาท้องน้อย แล้วจึ่งทำยาผูกข้อมือ กันสาระพัดตานทรางทั้งปวง ท่านให้เอาหญ้าพันงูแดง ขุดเมื่อตวันเที่ยงทั้งต้นทั้งราก หว้านน้ำแดง ขอบชะนางแดง โกฐสอ บดปั้นเป็นลูกประคำ ตากให้แห้ง แล้วเสกด้วยคาถานี้ ๑๘ คาบ กลิยเค ฯลฯ ปลายันฺติ แล้วจึ่งเอาผูกข้อมือกุมารเลี้ยงง่าย กันสาระพัดโรคทั้งปวงดีนัก ภาคหนึ่งยาทากระหม่อม ท่านให้เอาคราบงูเห่า คราบแมลงมุม ไพล ขมิ้นอ้อย บดทากระหม่อม แล้วให้ทาหัวนมมารดากุมารนั้นด้วยดีนัก ภาคหนึ่งยาทาตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งปวงแลจะเป็นไข้อภิฆาฎ ก็ดี ปักกะมิกาพาธก็ดี ท่านให้เอาใบมะขวิด คราบงูเห่า หอมแดง สาบแร้ง สาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง บดทำแท่งไว้ละลายน้ำนมโคทาตัวกุมาร ชำระมลทินโทษทั้งปวงดีนัก
    ยาชื่อว่าวินาศพิษขนาน นี้ ท่านให้เอาใบน้ำเต้า ใบหนาด ใบผักเค็ด ใบระงับ ใบสมี ขมิ้นอ้อย พริก ขิง เบี้ยตัวผู้เผาไฟ ๓ เบี้ย แมลงมุมตายซาก ๓ ตัว รังหมาล่าเผาไฟ ลำพันยาทั้งนี้ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ เมื่อทำยา ๒ ขนานนี้แล้วท่านให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๗ คาบ วิทฺธคาโม มหาราชา กุมฺภัณ์ฑยักฺโข มหาราชา วา ภูตปิสาจเทวานุภาเวน กุมาเร จ สุราคณา ภูต ปิสาจยักฺขคณา เทวา อาคัจฺฉันฺตุ เอหิ เอหิ แล้วจึ่งฝนทาตัวกุมารทั้งปวง หาไภยอันตรายทั้งหลายทั้งปวงมิได้เลย
( จบลักษณะครรภ์ประสูตร โดยสังเขปแต่เพียงนี้ )



    ทีนี้จะกล่าวสรรพยาสำหรับรักษากุมารต่อไปดังนี้ ยาชำระลำไส้ ข้างในมิให้ทรางบังเกิดขึ้นมาได้ ขนานนี้ท่านให้เอาใบสวาด ใบคนทีสอ ใบกระเพรา ใบมะตูม ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน เอาใบสลอดเท่ากับส่วนยาทั้งหลาย แต่ใบไม้ทั้งนี้ให้นึ่งเสียก่อน แล้วเอาขมิ้นอ้อย ไพล บดทำแท่งไว้ละลายน้ำเหล้ากินตามกำลัง ถ้าจะให้ลงให้มาก ละลายน้ำใบกระเพรากิน แล้วจึ่งแต่งยาชำระนอกลำไส้ให้กินต่อไปดังนี้ ยาชำระนอกลำไส้ขนานนนี้ท่านให้เอาใบไคร้หอม ใบสวาด ใบกระเพรา ใบจิงจ้อ ยาทั้งนี้ ตำเอาน้ำสิ่งละ ๑ จอก แล้วเขี้ยวให้ข้นดีแล้ว จึ่งเอายาดำ ๑ สลึง ใส่ลงกวนด้วยกัน แล้วจึ่งเอามาปั้นเป็นเม็ดเท่าลูกเดือย ละลายน้ำร้อนกินตามกำลัง เด็กอายุแต่เดือน ๑ ขึ้นไปถึง ๗ ขวบให้กิน เนื้อหนังบริบูรณ์งาม แลให้เจริญอ้วนพีชำระโรคทั้งปวงแต่บรรดาที่เกิดนอกลำไส้นั้น มักทำเป็นรังเป็นเยื่อไย แลเป็นเมล็ดมะเขือติดเสมหะติดโลหิตก็ดี จึ่งทำให้ปวดมวนแลเป็นไข้สบัดร้อน ยาขนานนี้ดีนัก แล้วจึ่งแต่งยาขนานนี้ให้กินต่อไป ท่านให้เอาขมิ้นอ้อย ลูกเบ็ญกานี ใบสวาด ยอดสะแก ใบฝ้ายแดง ใบเทียน ใบทับทิม ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน ให้เอาใบกระเพราเท่ากับยาทั้งหลาย บดทำแท่งไว้กินตามกำลัง ถ้าให้ปวดให้มวนนักแซกดีงูเหลือมกินหาย แล้วจึ่งแต่งยาชื่อว่าประสะ กระเพรานั้นให้กินต่อไป
    ยาชื่อว่าประสะกระเพราขนาน นี้ ท่านให้เอาตานดำ ลูกตานขะโมย เปลือกสันพร้านางแอ ไคร้เครือ เปลือกตะขบ ไพล ขมิ้นอ้อย หญ้าใต้ใบ สมอทั้ง ๓ จันทนฺทั้ง ๒ เทียนเยาวภานี น้ำประสารทอง สานส้ม ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน กระเพราเท่ากับยาทั้งหลาย ยา ๑๗ สิ่งนี้ทำให้เป็นจุณเอาสุราเป็นกระสายบดปั้นเป็นแท่งไว้ เมื่อจะกินแซก ดีงูเหลือมรำหัดพิมเสน กินแก้พิษตานพิษทราง ชูไฟธาตุ แลขับชีพจร ให้เดินสดวก ถ้าจะกินประจำท้องไปทุกวันกินเข้าได้ เมื่อเด็กท้องขึ้น ถ้าจะให้ระบายลม ละลายน้ำ ใบกระเพรากิน ถ้าตกมูกตกเลือด ละลายน้ำจันทนฺทั้ง ๒ กินถ้าไข้ให้ตัวร้อนเป็นเวลา ละลายน้ำสมอพิเภกกิน ถ้าทรางทำพิษขึ้นให้สลบละลายน้ำดีตะพาบน้ำกินหายดีนัก
   ยาชื่อเบ็ญจตานขนาน นี้ท่านให้เอา รากตานหม่อน รากตานเสี้ยน รากตานดำ รากตานขะโมย รากตานโตนด จันทนฺทั้ง ๒ ไคร้เครือ เปลือกสันพร้านางแอ พิศหนาด เอาสิ่งละ ๑ บาท ลูกจันทนฺ ๒ สลึง ยา ๑๑ สิ่งนี้ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ถ้าจะกินเช้าละลายดีงูเหลือมรำหัด ถ้ากินกลางวันละลายน้ำดอกไม้กิน ถ้ากินเย็นละลายน้ำจันทนฺกิน ถ้าจะแก้ตัวร้อนชะโลมก็ได้ ถ้าจะให้ระบายลมให้แบ่งยาออกเสียกึ่งหนึ่งแล้วจึ่งเอา ใบสวาด ใบสลอด ยา ๒ สิ่งนี้นึ่งเสียก่อนแล้วประสมเท่ายาทั้งหลาย บดละลายน้ำมะขามเปียกกินทุเลาดีนัก ให้แพทย์ทั้งหลายที่มีปัญญายักย้ายเอาตามคัมภีร์ที่ควรกันกับโรคนั้นเถิด
    ยา ทุเลาแก้กุมารท้องขึ้นเช้าขนานนี้ท่านให้เอา ใบคนทีสอ ใบกระเพรา ใบผักคราด ใบผักเสี้ยนผี ใบตานหม่อน ลูกจันทนฺ ดอกจันทนฺ กระวาน กานพลู มหาหิงคุ์ ยาดำ พริก ขิง ดีปลี รงทอง ยา ๑๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันทำเป็นจุณ เอาน้ำข่าเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกิน แก้กุมารท้องขึ้นเช้าดีนัก ยาแก้กุมารท้องขึ้นขนานนี้ ท่านให้เอายาดำ ใบตานหม่อน ใบสวาด ใบชุมเห็ด เอาสิ่งละ ๒ สลึง เทียนขาว กระวาน กานพลู ลูกจันทนฺ ดอกจันทนฺ เอาสิ่งละ ๑ สลึง เนระภูสี ดีปลี หญ้าใต้ใบ เอาสิ่งละ ๑ สลึง มหาหิงคุ์หนัก ๑ บาท ใบกระเพรา ๒ บาท ยา ๑๔ สิ่งนี้ ทำเป็นจุณ เอาน้ำข่าเป็นกระสายบดทำแท่งไว้เท่าเม็ดนุ่น ถ้าเด็กอายุเดือน ๑ ให้กินเม็ด ๑ ให้กินตามอายุเด็กดีนัก
    ยาชื่อทั้งขึ้นทั้งล่องขนาน นี้ท่านให้เอา พริกไทย ขิง ดีปลี กระเทียม น้ำประสานทอง เอาสิ่งละ ๑ สลึง ชะเอม มหาหิงคุ์ ยางโพ เอาสิ่งละ ๑ บาท เกลือสินเธาว์ ๑ เฟื้อง ผิวมะกรูด ๒ บาท ๒ สลึง ใบกระเพรา ๑ ตำลึง ๑ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ยา ๑๐ สิ่งนี้ ตำให้ละเอียดเอาสุราเป็นกระสาย บดทำแท่งไว้เท่าเม็ดพริกไทย กินตามกำลัง ละลายน้ำร้อนก็ได้น้ำใบกระเพราก็ได้ ดูตามโรคขึ้นหรือล่อง นั้นเถิด ได้เคยใช้มาแล้วดีนัก
    ยา ทาท้องให้ระบายลม ท่านให้เอายาดำ มหาหิงคุ์ รงทอง ฝักราชพฤกษ์ มะขามเปียก ไพล ขมิ้นอ้อย น้ำประสานทอง บดละลายตั้งไฟให้อุ่นทาท้องดีนัก
     ยา แก้หละแลแก้ทรางทั้งปวง ซึ่งทำให้ลงท้องแลท้องขึ้นนั้น ท่านให้เอาผักโหมหนามทั้งต้นทั้งราก หญ้าพันงูแดง ทั้งต้นทั้งราก ยาทั้ง ๒ สิ่งนี้ขั้วให้เกรียม เอาน้ำปูนใสเป็นกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำปูนใสแซกพิมเสนกินก็ได้ ทาปากก็ได้ได้ใช้มาแล้ว
    ยากวาด ถอนเสมหะ ในคอเด็ก ท่านให้เอา กำมะถันแดง เม็ดในมะนาว กระเทียม รากมะยงคุ์ป่า น้ำประสานทอง ดีจรเข้ ยา ๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะนาวกวาด เด็กให้อาเจียร ถอนเสมหะในทรวงอกดีนัก ได้ใช้มาแล้วอย่าสงไสยเลย
    ยา แก้ลมทราง ๗ จำพวก อันเกิดประจำทรางทั้ง ๗ วัน แลแก้ลมชื่อว่าสุนทรวาตนั้นเป็นต้นตั้งขึ้นแต่สะดือแลท้องน้อย ให้ปวดท้องแลท้องขึ้นก่อน แล้วให้ลงท้องให้หลับตา ให้ชักเท้ากำมือกำ ให้ท้องแลหน้าเขียว ถ้าจะแก้ท่านให้เอา พิมเสน การะบูร ผิวมะกรูด เอาสิ่งละ ๑ บาท มหาหิงคุ์ ๒ บาท ใบหนาด กระเทียม พริกไทย ขิง เอาสิ่งละ ๑ ตำลึง ยา ๘ สิ่งนี้ตำให้ละเอียด บดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะนาวกิน แก้ลมจุกเสียดขบแทงแลลมอิริ้น ลมทราง ทั้งปวงหาย ภาคหนึ่งยาแก้ลมสุนทรวาต แลลมทรางทั้ง ๗ วันนั้น ท่านให้เอา พริกไทย ขิง ดีปลี กระเทียม หว้านน้ำ ผิวมะกรูด ไพล มหาหิงคุ์ ยาดำ การะบูร เอาสิ่งละ ๑ บาท ใบกระเพราเท่ายา ทั้งหลาย ยา ๑๑ สิ่งนี้ตำให้ละเอียด บดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะกรูดกิน ถ้าจะแก้ท้องขึ้นละลายน้ำปูนใสก็ได้ แล้วจึ่งแซก รง เจ็ดตพังคี ทาท้องหายดีนัก ภาคหนึ่งท่านให้เอา สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม สิ่งละ ๑ สลึง ลูกโหรพา ลูกผักชี สีเสียด ลูกจันทนฺ ดอกจันทนฺ กระวาน กานพลู จันทนฺเทศ เอาสิ่งละ ๒ สลึง ลูกเบ็ญกานี ๓ สลึง ยา ๑๒ สิ่งนี้ตำให้ละเอียดบดทำแท่งไว้ละลายน้ำปูนใสแซกดีงู ฝิ่นขมิ้นชันกินแก้ลม ซึ่งทำให้ลงท้องนักหายแล ภาคหนึ่งยาต้ม ท่านให้เอาหญ้าลูกเคล้าเปลือกแทงทวย ใบเทียน ใบทับทิม กระทือ ไพล ข่า ขมิ้นอ้อย หัวหอม ยา ๙ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน เอาเหล้าครึ่ง ๑ น้ำท่าครึ่ง ๑ ต้ม ๓ เอา ๑ กินหายดีนัก
     อนึ่ง ถ้าทรางแดง ขึ้นหัวตับ ให้ลงเป็นโลหิต ๔ วัน ๕ วัน ก่อนแล้วให้ไอเป็นกำลัง ให้ตาเหลืองให้เจ็บเป็นเวลาแล้วตับหย่อนลงไปชายโครงข้างขวา ถ้าจะแก้ท่านให้เอาผลเบ็ญกานีส่วน ๑ กระเทียม ๒ ส่วน ฝางเสน ๓ ส่วน บดทำแท่งไว้ละลายน้ำปูนใสกินตามกำลังหาย ยาพอก ชายโครงให้ตับนั้นหดขึ้นไป ท่านให้เอา หน่อไม้ เขม่าเหล็ก ปูนขาวแต่น้อย บดพอก ๓ วันหาย ถ้ายังไม่หดสนิท ให้แต่งยาขนานนี้กินท่านให้เอา ตรีผะลา มะขามป้อม รากไอ้เหนียว รากเล็บมือนาง เปลือกไข่เน่า หัวแห้วหมู ผลมะตูมอ่อน ฝักราชพฤกษ์ เกสรบัวหลวง ดอกบุนนาค ยาดำ สานส้ม เอาสิ่งละ ๑ บาท เทียนดำ เทียนขาว น้ำประสานทอง เอาสิ่งละ ๒ สลึง ผลขี้กาแดงผ่า ๒ เอา ๑ บรเพ็ด ๓ องคุลี ขมิ้นอ้อย ๓ ชิ้น ใบกระเพราหนัก ๓ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง เอาสุราส่วน ๑ น้ำท่า ๒ ส่วน ต้ม ๓ เอา ๑ กินหายดีนัก ได้ใช้มาแล้วอย่าสงไสยเลย
( กล่าวตั้งแต่ครรภทวารกำเนิดไปจนถึงที่สุดแห่งครรภ์ประสูตร์ จบบริบูรณ์โดยสังเขป )



     พระคัมภีร์ประฐมจินดาผูก ๑ ปริเฉท ๓ ว่าด้วยลักษณะกุมารทั้งหลาย กุมารออกจากครรภ์ ฝังรกแห่งกุมาร กุมารอยู่ในเรือนเพลิง โดยสังเขป
    ปุน จปรํ ลำดับ นี้ พระอาจารย์เจ้าจะกล่าวถึงกุมารแลกุมารีคลอดออกจากครรภ์มารดานั้นต่อไป ลักษณะเมื่อกุมารคลอดออกตั้งแต่วัน ๑ ไปจนถึงเดือน ๑ เมื่อยังอยู่ในเรือนไฟมารดามักบังเกิดเป็นอันตรายต่างๆ ในเรือนไฟ ก็เป็นด้วยโลหิตพิการต่างๆคือโลหิตตีขึ้นเป็นต้น คือให้นอนอังไฟไม่ได้เป็นปริโยสาน ถ้าแลเป็นดังกล่าวมานี้ ท่านห้ามว่าอย่าให้กุมารผู้นั้นกินนมเลย เพราะโทษน้ำนมนั้นดิบ อนึ่งโทษโลหิตกับน้ำนมน้ำเหลืองนั้นระคนกันเข้าอยู่ ครั้นให้กุมารกินเข้าไป ก็จะบังเกิดโรคต่างๆดุจดังกล่าวมานี้ เมื่อกุมารอยู่ในเรือนไฟนั้นให้เป็นเขม่า ครั้นหล่นลงแล้วก็เข้าจับหัวใจแลทรวงอก จะทำให้สีปากแดงดุจดังสีชาดไปทาน้ำรักอันเปียก แลชาดนั้นก็จะดำเป็นสีลูกหว้า แลทรางอันหล่นลงมาเข้าท้องนั้น ก็เข้าจับเอาหัวตับ ครั้นออกจากเรือนไฟได้ ๒ วัน ๓ วันก็ดี ได้เดือนหนึ่งสองเดือนก็ดี เขม่านั้นจึงหล่น ในเมื่อสิ้นเขม่าแล้วทรางจึงบังเกิดขึ้นเพราะเส้นเอ็นทั้ง ๓๐๗ เส้นเป็นสายโลหิตแห่งมารดาอันรัดรวบกันอยู่ที่หัวนมกุมารบริโภคเข้าไปจึง เป็นโรค แลสัตรีบางจำพวกหาอันตรายในเรือนไฟนั้นมิได้ หากว่าสายโลหตินั้นวิปริตเอง ชื่อว่าเบ็ญจสัตรี มีตัวพยาธิกินอยู่เป็นเจ้าเรือนแห่งตน คือ กินอยู่ในหัวใจ ในตับ ในปอด ในนาภี แลทรวงนม กิมิชาติ์ ทั้ง ๕ จำพวกนี้ ย่อมกระทำให้อกแห้ง มีตัวดังตัวด้วงปากนั้นดำแหลม ตัวนั้นขาวสมมุติว่างานม กุมารทั้งหลายบริโภคนมดังนี้ จึ่งบังเกิดโรคพยาธิต่างๆ ให้แพทย์พึงรู้ดุจดังกล่าวมานี้เถิด
ปุ น จปรํ ลำดับนี้พระอาจารย์เจ้าจะกล่าวด้วยลักษณะฝังรกกุมารนั้นสืบไป ถ้าสัตรีผู้ใดคลอดบุตร์แล้วได้ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วันก็ดี ท่านห้ามว่ายังไม่ให้ฝังรกกุมารนั้น เพราะว่าพราย กุมภัณฑ์ จะหอมกลิ่นแลจะมากิน ครั้นกินแล้วจะลามเข้าเอาตัวมารดา จะทำให้เป็นอันตรายต่างๆต่อไป ท่านกำหนดไว้ให้ฝังรกนับตั้งแต่ได้ ๗ วันขึ้นไปจนถึงเดือน ๑ จึ่งให้ฝัง เมื่อจะฝังรกนั้น ท่านให้เอาแป้งหอมน้ำมันหอม เข้าตอกดอกไม้ กฤษณาจวงจันทนฺ ธูปเทียนบูชาบวงสรวงแก่เทพยาเดินหน แลบูชาพฤกษเทวดา ภูมิเทวดา แลเทวดาทั้งนี้ให้นมัสการเสียก่อนแล้วจึ่งฝังราก ตามตำราซึ่งท่านกล่าวไว้ดังนี้เถิด ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะฝังรกกุมารในเดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ๖ ทั้ง ๓ เดือนให้ฝังทิศหรดี กุมารนั้นจึ่งจะมีอำนาจ ท่านห้ามไม่ให้ฝังทิศทักษิณ กุมารนั้นจะเป็นอันตราย ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะฝังรกกุมารในเดือน ๗ เดือน ๘ เดือน ๙ ทั้ง ๓ เดือน นี้ท่านให้ฝังทิศบูรพา แลพายัพ กุมารผู้นั้นจะดีมีความเจริญนัก ห้ามไม่ให้ฝังทิศอาคเณย์ แลหรดี กุมารนั้นจะเป็นอันตราย ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะฝังรกกุมารในเดือน ๑๐ เดือน ๑๑ เดือน ๑๒ ทั้ง ๓ เดือนนี้ ท่านให้ฝังทิศอิสาณ แลทักษิณ กุมารนั้นจะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย ห้ามไม่ให้ฝังทิศพายัพ กุมารนั้นจะเป็นอันตราย ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะฝังรกกุมารในเดือน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ ทั้ง ๓ เดือนนี้ ท่านให้ฝังทิศอาคเณย์แลประจิม กุมารนั้นจะอยู่ดีเป็นศุขหาอันตรายมิได้ ห้ามไม่ให้ฝังทิศพายัพแลอิสาณ กุมารนั้นจะเป็นอันตราย ถ้าแลบุคคลผู้ใดมิรู้ในคัมภีร์ตำรานี้ แลไปฝังรกกุมารโดยทิศซึ่งท่านห้ามไว้นั้น อันตรายจะมีแก่มารดา แลทารกนั้นเป็นอันเที่ยง
    อปิจ อนึ่งโสด ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดา ถ้ารกนั้นเป็นสังวาลย์ พันตัวกุมารออกมา ๒ แล ๓ , ๔ หรือ ๕ รอบก็ดี ท่านให้เอาย่างไฟไว้ให้แห้งกรอบ แล้วเอาไปบดโรยลงในเข้าให้กุมารนั้นกิน ไม่รู้อ้อนแลร้องไห้เลยทั้งหาอันตรายมิได้ แลปราศจากโรคทั้งปวงตราบเท่าใหญ่โต ทั้งจะมีบุญกว่าคนทั้งหลายด้วย
    อปิจ อนึ่ง โสด ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดรกพันคอออกมาก็ดี พันตัวกลมออกมาก็ดี ท่านให้เอารกนั้นลงในหม้อทนน ๑๐๐๐ แล้วเอาเหล็กแทงกลางย่างไฟไว้ให้แห้ง แล้วจึ่งเอามาบดโรยลงในเข้าให้กุมารกิน กุมารผู้นั้นมิรู้ร้องไห้เลย ทั้งจะมีปัญญากว้างขวางกว่าคนทั้งหลาย ทั้งรูปร่างกุมารนั้นจะงดงามด้วย ถ้าจะให้เป็นเสน่ห์แก่กุมาร ให้เอาชัน ผนึกปากหม้อรกแล้วเอาไปฝังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่กลางที่ตำบลคนเดินชุกชุม แล้วเอาสรรพหนามหมกไว้ให้คนทั้งหลายเห็น กุมารผู้นั้นจะเป็นที่พิศวาสดิ์แก่คนทั้งหลาย เป็นมหาเสน่ห์วิเศษนักอย่าสงไสยเลย
    อปิจ อนึ่ง โสด ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดรกพันคอก็ดี ไม่พันคอก็ดี ท่านให้ทำตามบุราณ ถ้าเป็นหญิงจะให้เป็นสิ่งอันใด ก็ตามแต่ใจบิดามารดาจะปรารถนา แล้วให้เอาสิ่งอันนั้นวางลงในหม้อรกกุมารนั้น แล้วเอาไปฝังไว้ตามทิศดังกล่าวแล้วแต่หลังนั้น อันว่ากุมารกุมารีที่บังเกิดมานั้น ก็จะประพฤติตามบิดามารดากระทำนั้น ถ้าแลกุมารนั้นเป็นชายจะให้กล้าแขงรู้ในไตรเพทย์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี ก็ให้ทำตามบิดามารดาปรารถนา เอาสิ่งอันนั้นวางลงในหม้อรกแห่งกุมารผู้นั้นแล้ว เอาไปฝังไว้ตามทิศดังกล่าวมาแล้วแต่หลังนั้น อันว่ากุมารผู้นั้นก็จะประพฤติ์ตามที่บิดามารดากระทำนั้น ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะฝังรกกุมารไปเบื้องน่านั้น ให้ฝังตามทิศดุจกล่าวมาแต่หลังนั้น เมื่อจะฝังให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๓ คาบ เป็นพระคาภาเศกน้ำ อิเม กุมารา วสันฺติฐาเน อัตฺถ ภวามิหํ อเนกชาติ สตสหัสฺเสสุ ตัตฺถตัต์ถ มา ทลิท๎โท ภวามิหํ แล้วเอาน้ำที่เสกนั้นมารดหม้อรกในหลุม แล้วจึ่งสวดพระคาถานี้ ๓ คาบ ภวตุ สัพฺพมังคลํ รักฺขันฺตุ สัพฺพเทวตา สัพฺพพุทฺธา สัพฺพธัมฺมา สัพฺพสํ ฆานุภาเวนสทา โสตฺถี ภวันฺตุ เต แล้ว จึ่งเอาดินกลบลงเสีย จึ่งเอาต้นเอากิ่งไม้ที่มีอยู่ในตำราพรหมชาติ ตาม ชนมฺพรรษา กุมารเกิดนั้นปักลงไว้ปากหลุมรก แล้วจึ่งเสกน้ำรดไม้ที่ปักนั้นด้วยพระคาถานี้ ๓ คาบ สันฺติ ปักฺขา อปัตฺตนา สันฺติ ปาทา อวัญฺจนา มาตาปิตา จ นิกฺขันฺตา ชาตเวทปฏิกฺกม สหสัจฺเจ กเต มัยฺหํ มหาปัชฺชลิโต สิขี วัชฺเชสิ โสฬส กรีสานิ อุทกํ ปัตฺวา ยถา สิขี สัจฺเจน เม สโม นัตฺถิ เอสา เม สัจฺจปารมีติ รดน้ำแล้วจึ่งให้สวดพระคาถานี้ ๓ คาบ สัพฺพพุทฺธานุภาเวน สัพฺพธัมฺมานุภาเวน สัพฺพสํ ฆานุภาเวน พุทฺธ, ธัมฺม, สํ ฆ, รตนํ ติณฺณํ รตนานํ อานุภาเวน จตุราสีติสหัสฺสธัมฺมักฺขันฺธานุภาเวน ปิฏกัตฺตยานุภาเวน ชินสาวกานุภาเวน สัพฺเพ เต โรคา สัพฺเพ เต ภยา สัพฺเพ เต อันฺตรายา สัพฺเพ เต อุปัทฺทวา สัพฺเพ เต ทุนฺนิมิตฺตา สัพฺเพ เต อวมังคลา วินัสฺสันฺตุ อายุวัฑฺฒโก ธน วัฑฺฒโก สิริวัฑฺฒโก ยสวัฑ์ฒโก พลวัฑฺฒโก วัณฺณวัฑฺฒโก สุขวัฑฺฒโก โหตุ สัพฺพทา ทุกฺขโรคัพฺภยา เวรา โสกา สัตฺตุจุปัทฺทวา อเนกา อันฺตรายาปิ วินัสฺสันฺตุ จ เตชสา ชยสิทฺธิ ธนํ ลาภํ โสตฺถิ ภาค๎ยํ สุขํ พลํ สิริ อายุ จ วัณฺโณ จ โภคํ วุฑฺฒี จ ยสวา สตวัสฺสา จ อายู จ ชีวสิทฺธี ภวันฺตุ เต แล้วจึ่งกลับมา
อนึ่ง เมื่อแต่งเครื่องบวงสรวง บูชาพระภูมิ แล้วให้ออกชื่อพระภูมิให้ต้องนามของพระภูมิทั้งบิดามารดาของพระภูมิด้วยดัง นี้ บิดาพระภูมิชื่อกายทัต มารดาพระภูมิชื่อสันธาธิบดีเทวี อันว่าพระภูมิ นั้นมีลักษณะ ๕ ประการมีนามต่างๆดังนี้ พระภูมิรักษาอยู่ในบ้านนั้นชื่อพระไชยมงคลพระองค์หนึ่ง พระภูมิรักษาอยู่ในสวนชื่อพระธรรมโหราพระองค์หนึ่ง พระภูมิรักษาอยู่ในวัดนั้นชื่อพระไวยทัตพระองค์หนึ่ง พระภูมิรักษาอยู่ในท้องนาแลโรงโคนั้นชื่อพระเยาวแผ้วพระองค์หนึ่ง พระภูมิรักษาอยู่ในโรงบ่าวสาว นั้น ชื่อพระสรรพคนธรรพฺพระองค์หนึ่ง นามพระภูมิเป็น ๕ พระองค์ด้วยกันดังนี้ ถ้าบุคคลผู้ใดจะแต่งเครื่องบูชาแก่พระภูมิ ให้รู้จักลักษณรู้จักนามพระภูมิทั้ง ๕ พระองค์นี้ ให้ออกชื่อให้ต้องพระนามของเธอๆ จึ่งจะรับเครื่องสการบูชาบวงสรวงของผู้นั้น
   อปิจ อนึ่ง โสด ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ กำเนิดแม่ซื้อ กุมารผู้นั้นสถิตย์อยู่บนจอมปลวก ถ้าจะฝังรกให้ไปฝังที่จอมปลวกจึ่งจะดี ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันจันทร์ กำเนิดแม่ซื้อกุมารผู้นั้นสถิตย์อยู่บ่อน้ำ ถ้าจะฝังรกให้ไปฝังที่บ่อน้ำจึ่งจะดี อนึ่งโสดถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันอังคาร กำเนิดแม่ซื้อกุมารผู้นั้นสถิตย์ศาลเทพารักษ์ ถ้าจะฝังรกให้ไปฝังที่ศาลเทพารักษ์จึ่งจะดี ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันพุฒ กำเนิดแม่ซื้อกุมารผู้นั้นสถิตย์อยู่ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ถ้าจะฝังรากให้ไปฝังที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึ่งจะดี ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันพฤหัศบดี กำเนิดแม่ซื้อกุมารผู้นั้นสถิตย์อยู่ที่สระน้ำหรือบ่อน้ำใหญ่ ถ้าจะฝังรกให้ไปฝังที่สระน้ำแลบ่อน้ำใหญ่จึ่งาจะดี ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันสุกร์ กำเนิดแม่ซื้อกุมารผู้นั้นสถิตย์อยู่ที่ต้นไทรใหญ่ ถ้าจะฝังรกให้ฝังที่ต้นไทรใหญ่จึ่งจะดี ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดวันเสาร์ กำเนิดแม่ซื้อกุมารผู้นั้นสถิตย์อยู่ที่ศาลพระภูมิ ถ้าจะฝังรกให้ไปฝังที่ศาลพระภูมิจึ่งจะดี ถ้าแลบุคคลผู้ใดจะฝังรกกุมารสืบไปเบื้องน่านั้น ให้ทำตามตำราซึ่งท่านกำหนดไว้ในคัมภีร์ปฐมจินดา กุมารแลกุมารีจึ่งจะอยู่เย็นเป็นศุขทุกประการ ดุจดังพระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้นี้เถิด
    อปิจ อนึ่งโสด ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดอยู่ในเรือนไฟ ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาได้ ๗ วันไปจนถึงเดือน ๑ ถ้าแลเป็นไข้สิ่งใดๆก็ดี คือให้บิดตัวให้หลังร้อน ให้นอนสดุ้ง แลร้องไห้มิหยุด ให้ใหลหลงเพ้อมะเมอร้องไห้แลหัวเราะ ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดมีอาการเป็นดังกล่าวมานี้ ท่านว่ากุมารกุมารีผู้นั้นต้องแม่ซื้อ แลแม่ซื้อนั้นหากหลอกหลอน เอง ถ้าจะแก้ท่านให้ทำบัตร์ ๔ มุม ใบหนึ่งกับเครื่องมัจฉมังสะทั้งปวงเหล้าเข้าแล้วให้บูชาด้วยพระคาถานี้ ๓ คาบ ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สัจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คัพฺภัสฺส ครั้น จบแล้วจึ่งเอาบัตร์ไปวางบวงสรวงที่หลุมฝังรกนั้นจึ่งจะหาย ถ้ายังไม่หายท่านให้ทำยาทากระดูกสันหลังหวังจะให้กันสรรพตานทราง ทั้งปวง ไม่ให้ตั้งขึ้นได้ ขนานนี้ท่านให้เอาลูกจันทนฺหวายตะค้า ฝางเสน ยา ๓ สิ่งนี้ฝนด้วยน้ำมันงูเหลือมทาแก้สรรพตานทรางทั้งปวงหาย
อปิจ อนึ่งโสด ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดยังอยู่ในเรือนเพลิง แลให้กุมารกุมารีผู้นั้นท้องขึ้นมิรู้วายเลย แล้วให้หน้าเขียวให้มือเย็นเท้าเย็น แลให้ตาช้อนดูสูงแล้วให้ชักเท้ากำมือกำ ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดมีอาการเป็นดังกล่าวมานี้ ท่านว่ากุมารกุมารีผู้นั้นต้องผีรกแห่งกุมารนั้นเอง ถ้าจะแก้ท่านให้ทำบัตร์กลมอันหนึ่ง เอาเข้าสารตกตีนครก ตามแต่จะได้ตำเป็นแป้ง จึ่งปั้นเป็นอึ่งยางตัว ๑ รูปกบตัว ๑ ผักตบ ๗ ดอก กับมัจฉมังสาเหล้าเข้าใส่ในบัตร์กลมแล้วเอาไป เสีย ให้ข้างตีนครกด้วยมนตฺนี้ ๓ คาบ โอมฺปัสฺสักฺ โก อกาส๎ร การทถาปาย ปิมหาพิสมัยไตรตรึง โอมฺ มิดๆ เมี้ยนๆ สวาห ถ้ายังไม่หายท่านให้ทำยานี้กินแลทาแก้ต่อไป ขนานนี้ท่านให้เอาเทียนดำ หิงคุ ยางโพ ขิงแห้ง เอาสิ่งละส่วน เทียนแดง ๒ ส่วน กระเทียม ๓ ส่วน ใบกะพังโหม ๘ ส่วน ยา ๖ สิ่งนี้ทำเป็นจุณบดปั้นแท่งไว้ละลายน้ำร้อนกินบ้าง ทาท้องบ้าง ทากระดูกสันหลังบ้าง ทากระหม่อมบ้าง แลทาฝ่ามือแลฝ่าเท้าบ้าง ทารักแร้แลขาหนีบ น่องแลขาคู้บ้างหายดีนักได้เชื่อแล้ว
   อปิจ อนึ่งโสด ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีชวด คือเทพดาผู้หญิงไม้มิ่ง นั้น คือไม้มะพร้าว
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีฉลู คือมนุษย์ผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือไม้ตาล
ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีขาล คือผีเสื้อผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือไม้รัง
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีเถาะ คือมนุษย์ผู้หญิง ไม้มิ่งนั้นคือไม้งิ้ว
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีมะโรง คือเทพดา ผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือไม้กัลปพฤกษ์
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีมะเสง คือมนุษย์ผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือไม้โพบาย
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีมะเมีย คือเทพดาผู้หญิง ไม้มิ่งนั้นคือไม้กล้วย (ต้นกล้วย)
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีมะแม คือเทพดาผู้หญิง ไม้มิ่งนั้นคือไม้ทองหลาง
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีวอก คือผีเสื้อ ผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือไม้ขนุน
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีระกา คือผีเสื้อผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือไม้เวฬุ (ไม้ไผ่)
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีจอ คือผีเสื้อผู้หญิง ไม้มิ่งนั้นคือไม้บัวบก
ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดเกิดปีกุน คือมนุษย์ผู้ชาย ไม้มิ่งนั้นคือบัวหลวง
ใน ถ้อยคำอันนี้ของพระมหาเถรเจ้าผู้ชื่อว่าตำแย ซึ่งเป็นผู้ตกแต่ง พระคัมภีร์ปฐมจินดา พระคัมภีร์ครรภรักษานี้ตั้งแต่กุมารปฏิสนธิในครรภ์มารดาได้ ๗ วันไปจนกำหนดคลอด กล่าวมาจนถึงกุมารอยู่ในเพลิงก็จบแต่เพียงนี้
      พระ อาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าแพทย์ผู้ใดก็ดีหมอตำแยแม่มดผู้ใดก็ดี แลจะถือครรภ์ให้กุมารคลอดไปเบื้องน่านั้น ให้บูชาสรวงพระมหาเถรตำแยก่อน จึ่งประสิทธิทุกประการ


      พระ คัมภีร์ปฐมจินดา ผูก ๑ บริเฉท ๔ ว่าด้วยสังโยชนฺ ลักษณะสัตรีดีแลชั่ว แลรสน้ำนมดีแลชั่ว ซึ่งจะให้กุมารบริโภคมีคุณแลโทษนั้น ๖ จำพวก โดยสังเขป
     อหเมว กิตฺติยาย ตัสฺส สังโยชนัสฺส ฐิโต โข อิสิ ริทฺธิยาธโรนาม ลภติ โลกิยฌานํ อภิญฺาย ลักฺขณํ อิตฺถิยา สุทฺทุสํ ฉัพฺพัคฺคิยาปิ กริสฺสามีติ (อิสิ) อันว่าพระฤๅษี (ริทฺธิยาธโร นาม) ผู้ชื่อว่าพระฤทธิยาธรดาบศ (ลภติ) ได้แล้ว (โลกิยฌานํ) ซึ่งอภิญญาฤทธิ์ ยิ่งด้วยโลกิยฌาน (อภิญฺญาย ) มีปรีชาญาณเห็นแลรู้แจ้ง (ฐิ โต โข) นำมาตั้งไว้แท้จริง (ลักฺขณํ) ซึ่งลักษณะแห่งหญิงทั้งหลาย (สุทฺทุสํ) อันดีแลชั่วต่างๆ (ฉัพฺพัคฺคิยา) ก็มี ๖ จำพวก (อหํ) อันว่าข้า (โกมารภัจฺโจเอว) ชื่อว่าโกมารภัจแท้จริง (กริสฺสามิ) จักทำตาม (ตัสฺส สํโยชนัสฺส) ซึ่งพระคัมภีร์สังโยชนฺนี้ (กริตฺติยาย) ให้ตั้งไว้โดยพิศดา (อิติ) ด้วยประการดังนี้
     โดย อธิบายในคัมภีร์สังโยชนฺนี้ ว่ายังมีพระดาบศองค์ ๑ ชื่อว่าฤทธิยาธรดาบศ เธอนั้นได้ซึ่งฌาน อันเป็นโลกีย์ หยั่งรู้ลักษณะหญิงแลน้ำใจสัตรีภาพทั้งหลาย อันดีแลชั่วต่างๆนั้น แลท่านพระองค์นี้ได้เป็นอาจารย์ของชีวกโกมารภัจ ชีวกโกมารภัจจึ่งนมัสการถามถึงโรคแห่งกุมารว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันว่ากุมารแลกุมารีทั้งหลายซึ่งบังเกิดมาในโลกย์นี้ ย่อมบังเกิดโรคนั้นต่างๆจะเหมือนกันหามิได้ ในท้องพระคัมภีร์ปฐมจินดา กำเนิดทรางนั้นว่าถ้ากุมารแลกุมารีผู้ใดคลดจากครรภ์ในวัน ๒, , , นั้นว่าโรคเบาบาง ฉันใดแลผู้เป็นเจ้าโรคนั้นจึ่งกลับมากไปเล่า ที่ว่ากุมารแลกุมารีคลอดจากครรภ์ในวัน ๑, , , ๗ นั้นว่าร้ายนักเลี้ยงยากแลโรคนั้นก็มาก ฉันใดแลพระผู้เป็นเจ้า โรคนั้นจึ่งเบาบางกลับเป็นดีไปเล่า คลอดวันที่ดีกลับร้าย คลอดวันที่ร้ายกลับดีดังนี้เป็นประการดังฤๅ ที่ร้ายนั้นรักษาง่าย ที่ดีรักษายาก ส่วนที่ร้ายรักษาไม่รอดนั้น กุมารแลกุมารีเกิดมาในวัน ๑, , , , นั้น ในท้องพระคัมภีร์ปฐมจินดา กำเนิดทราง นั้นร้ายนักเลี้ยงก็ยาก กุมารกุมารีเกิดมาในวันเหล่านี้จะมิตายเสียสิ้นแลหรือ ก็ที่เกิดมาในวัน ๒, , , นั้น ในท้องพระคัมภีร์ปฐมจินดาว่ามิพอเป็นไรเลี้ยงง่ายก็ตกซึ่งว่ากุมารกุมารีเกิดมาในวันเหล่านี้ จะไม่รู้ตายแล้วหรือพระผู้เป็นเจ้า
    ฝ่าย พระฤๅษีฤทธิยาธรดาบศจึ่งวิสัชชนา ว่า สัตว์เกิดมาในภพสงสาร นี้ ซึ่งเกิดมาในวันที่ดีไม่มีสิ่งอันใดขัดขวาง พันแผน ทรางที่ร้ายแล้ว แต่ว่าเลี้ยงยากนั้น เหตุทั้งนี้ก็เพราะน้ำนมของมารดานั้นให้โทษแก่กุมารนั้นเอง อนึ่งกุมารจะเกิดในวันที่ร้ายแล้วต้องแผนทรางที่ร้าย แต่ว่าเลี้ยงง่ายนั้นอาไศรยน้ำนมแห่งมารดานั้นดี กุมารได้บริโภคจึ่งวัฒนาการเจริญขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะน้ำนมสัตรีดีแลร้ายมีอยู่ ๖ จำพวก ท่านจงทราบด้วยประการดังนี้ พระฤๅษีสิทธิดาบศ เธอจึ่งนำเอาลักษณะน้ำนมอันชั่ว ซึ่งกุมารบริโภคเป็นโทษ ๒ ประการมาแสดงก่อนโดยสังเขปดังนี้
   (๑) หญิงจำพวกหนึ่ง มีกลิ่นตัวคาวดังน้ำล้างเนื้อ ลูกตาแดง เนื้อขาวเหลือง นมยาน หัวนมเล็ก เสียงพูดแหบเครือดังเสียงการ้อง ฝ่ามือแลเท้ายาว ห้องตัวยาว จมูกยาว หนังริมตาหย่อน สดือลึก ไม่พี ไม่ผอม สันทัดคน กินของมาก ลักษณะหญิงอย่างนี้ชื่อว่าหญิงยักขินี เป็นหญิงมีกามแรง ถ้าให้กุมารบริโภคน้ำนมเข้าไปมักเกิดโรคต่างๆ แม่นมอย่างนี้ท่านให้ยกเสียอย่าพึงเอา
    (๒) หญิงจำพวกหนึ่ง มีกลิ่นตัวดังบุรุษ ตาแดง ผิวเนื้อขาว นมดังคอน้ำเต้า ริมฝีปากกลม เสียงแข็งดังเสียงแพะ ฝ่าเท้าใหญ่ข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่ง เจรจาปากไม่มิดกัน เดินไปมามักสดุด ลักษณะหญิงอย่างนี้ชื่อว่าหญิงหัศดี เป็นหญิงกามแรง ถ้าให้กุมารบริโภคน้ำนมเข้าไป ดุจดังเอายาพิศมฺ ให้บริโภคแม่นมอย่างนี้ท่านให้เลือกออกเสียอย่าพึงเอา ลักษณะแม่นม ๒ จำพวกนี้ ท่านว่าหนาไปด้วยกามราคนั้นแรงนัก ซาบซ่านไปทั่วทุกขุมขน ถ้าให้กุมารบริโภคเข้าไป ถึงกุมารจะไม่มีโรคว่าจะให้มีโรคเป็นไปต่างๆก็ว่า เพราะน้ำนมชั่วเป็นนมแสลงโรค ไม่ดีดุจกล่าวมานี้
ทีนี้จะว่าด้วยลักษณะแห่งแม่นมที่ดี ซึ่งกุมารดื่มน้ำนมมิได้เป็นโทษนั้นมีอยู่ ๔ จำพวกต่อไปดังนี้
     (๑) หญิงจำพวกหนึ่ง มีกลิ่นตัวหอมดังกล้วยไม้ ไหล่ผายสะเอวรัด หลังราบ สัณฐานตัวดำแลเล็ก แก้มใส มือแลเท้าเรียว เต้านมดังอุบลพึ่งแย้ม ผิวเนื้อแดง เสียงดังเสียงสังข์ รศน้ำนมนั้นหวานมันเจือกัน ลักษณะหญิงอย่างนี้ท่านจัดเป็นหญิงเบ็ญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดดีนัก
      (๒) หญิงจำพวกหนึ่ง มีกลิ่นตัวดังดอกอุบล เสียงดังเสียงแตร ไหล่ผาย ตะโพกรัด แก้มพอง นิ้วมือแลนิ้วเท้าเรียวแฉล้ม เต้านมดังบัวบาน ผิวเนื้อเหลือง น้ำนมข้นมีรศหวาน ลักษณะหญิงอย่างนี้ท่านจัดเป็นหญิงเบ็ญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดดีนัก
    (๓) หญิงจำพวกหนึ่ง มีกลิ่นตัวไม่ปรากฎหอมหรือเหม็น เอวกลม ขนตางอน จมูกสูง เต้านมกลม หัวนมงอนดังดอกอุบลพึ่งจะแย้ม รศน้ำนมนั้นหวาน มันสักหน่อย ลักษณะหญิงอย่างนี้ท่านว่าเป็นหญิงเบ็ญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดน้ำนมดีนัก
    (๔) หญิงจำพวกหนึ่ง มีกลิ่นตัวหอมเผ็ด เสียงดังเสียงจักกระจั่น ปากดังปากเอื้อน ตาดังตาทราย ผมแข็งชัน ไหล่ผาย ตะโพกผาย หน้าผากส้วย ท้องดังกาบกล้วย นมพวง น้ำนมขาวดังสังข์ รศน้ำนมมันเข้มสักหน่อย เลี้ยงลูกง่าย ลักษณะหญิงจำพวกนี้ท่านจัดเป็นหญิงเบ็ญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดน้ำนมดีนัก ลักษณะแม่นม ๔ จำพวกนี้เป็นแม่นมเบ็ญจกัลยาณี ท่านจัดสรรเอาไว้ถวายพระมหาบุรุษราชเจ้าได้เสวยครั้งนั้น เรียกว่าทิพโอสถ ประโยธร ดุจน้ำสุรามฤต ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดได้บริโภค ดุจดื่มกินซึ่งโอสถอันเป็นทิพย์ น้ำนมที่กล่าวมาทั้ง ๔ จำพวก ถึงว่ากุมารผู้นั้นจะมีโรคก็อาจบำบัดเสียได้ซึ่งโรคให้วินาศฉิบหายทุกประการ เพราะน้ำนมมีคุณดังโอสถแลมิได้แสลงโรคดีนัก
     หญิง ๔ จำพวกนั้นท่านจัดออกเป็น ๔ ตระกูล คือหญิงเกิดในตระกูลกระษัตริย์จำพวก ๑ หญิงเกิดในตระกูลเสรษฐีแลเสนาบดีจำพวก ๑ หญิงเกิดในตระกูลพ่อค้าจำพวก ๑ หญิงเกิดในตระกูลชาวนาจำพวก ๑ เป็น ๔ จำพวกด้วยกันดังนี้ แต่ท่านว่าให้ดูลักษณะตามดีแลชั่ว ดุจกล่าวมาแต่หลังนั้น ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษากุมารไปเบื้องน่า ให้พิจารณาดูน้ำนมแห่งแม่นม แลน้ำนมแห่งมารดานั้นก่อน ถ้าเห็นว่าน้ำนมนั้นยังเป็นมลทิน อยู่ ท่านให้แต่งยาประสระน้ำนม นั้นเสียก่อน จึ่งจะสิ้นมลทินและโทษทั้งปวง ถ้าแพทย์จะพิจารณาดูน้ำนมดีแลร้ายนั้น ให้เอาน้ำใส่ขันลงแล้วให้แม่นมนั้นหล่อนมลงดู ถ้าแลสีน้ำนมขาวดังสีสังข์แลจมลงในขันสัณฐานเหมือนดังลูกบัวเกราะ นมอย่างนี้จัดเอาเป็นน้ำนมอย่างเอก ถ้าหล่อน้ำนมลง และน้ำนมนั้นกระจาย แต่ว่าข้นจมลงถึงก้นขันแต่ไม่กลมเข้า น้ำนมอย่างนี้จัดเอาเป็นน้ำนมอย่างโท ถ้าพ้นจากน้ำนม ๒ ประการนี้แล้ว ถึงจะมีลักษณะประกอบไปด้วยยศศักดิ์ชาติตระกูลปานใดก็ดี ถ้ามีกุศล หนหลังยังติดตามบำรุงรักษาไม่ให้เกิดโรคาพยาธิ รสน้ำนมนั้นเปรี้ยว ขม ฝาด จืด จาง แลมีกลิ่นอันคาวนั้น ก็จัดเป็นน้ำนมโทษทั้งสิ้นดุจกล่าวมาดังนี้


    ยัง มีน้ำนมพิการอีก ๓ จำพวก คือสัตรีขัดฤดู จำพวก ๑ สัตรีอยู่ไฟมิได้แลน้ำนมนั้นเป็นน้ำนมดิบ จำพวก ๑ สัตรีมีครรภ์อ่อนเป็นน้ำเหลือง ใหลหลั่งลงในน้ำ เป็นสายโลหิตกับน้ำนมระคนกันจำพวก ๑ ถ้าสัตรีมีลักษณะแลน้ำนมอันชั่วดุจกล่าวมานี้ ถ้าแลให้กุมารกินเข้าไป ดุจหนึ่งให้บริโภคยาพิษ ก็จะบังเกิดโรคาพยาธิต่างๆ ถ้าแพทย์จะพยาบาลให้พึงพิจารณาโรคาพยาธิแลชาตินรลักษณ์ แห่งแม่นมนั้นก่อน ถ้าประกอบไปด้วยโทษประการหนึ่งประการใดก็ดี ให้ประกอบยาประจุโลหิต แลรุน้ำนม บำรุงธาตุให้โลหิตแล น้ำนมนั้นบริบูรณ์ก่อนจึ่งจะสิ้นโทษร้าย ถ้าแลน้ำนมลอยเรี่ยรายอยู่ไม่คุมกัน เข้าได้ ท่านว่าเป็นเพราะโลหิตกำเริบให้แต่งยาประจุโลหิตร้ายเสียก่อน โลหิตจึ่งจะงามน้ำนมจึ่งจะบริบูรณ์
    ยาประจุโลหิตขนาน หนึ่ง ท่านให้เอาเทียนทั้ง ๕ โกฐสอ ๑ โกฐเขมา ๑ สมอไทย ๑ สมอพิเภก ๑ ลูกผักชีล้อม ๑ ลูกผักชีลา ๑ เกลือสินเธาว์ ๑ น้ำประสานทอง ๑ ดอกสัตบุศย์ ๑ เบี้ยตัวผู้ ๑ สังข์ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ พริก ๑ ขิง ๑ การบูร ๑ รวมยา ๒๐ สิ่งนี้ เอาส่วนเท่ากัน เอาผลสลอดประสระ ตามวิธีสุทธิ แล้วเอากึ่งยา ทั้งหลายตำเป็นผงบดละลายน้ำร้อนกินหนัก ๒ สลึง ลงสดวกขับโลหิตร้ายพิการ ตลอดถึงกุมารด้วยดีนัก แล้วจงแต่งยาบำรุงโลหิตให้งามนั้นกินต่อไป
    ยาบำรุงโลหิตขนาน นี้ท่านให้เอารากเถาวัลย์เปรียง ๑ สลึง กำลังวัวเถลิง ๑ สลึง ครั่ง ๑ สลึง ฝาง ๑ สลึง เทียนทั้ง ๕ สิ่งละ ๑ สลึง ลูกจันทนฺ ๑ สลึง ตรีกะฏุก ๑ สลึง ตรีผลา ๑ สลึง โกฐสอ ๑ สลึง โกฐหัวบัว ๑ สลึง จันทนฺทั้งสอง ๑ สลึง ลูกผักชีทั้งสอง ๑ สลึง หญ้ารังกา ๑ สลึง เปลือกมูกมัน ๑ สลึง หัวแห้วหมู ๑ สลึง สะค้าน ๑ สลึง รากช้าพลู ๑ สลึง เจตมูลเพลิง ๑ สลึง ฝางเสน ๑ สลึง เลือดแรด ๒ บาท ดอกคำฝอย ๑ สลึง บรเพ็ด ๔ บาท รวมยา ๓๓ สิ่งนี้ต้มก็ได้ตำเป็นผงก็ได้ กินบำรุงโลหิตแลบำรุงไฟธาตุทั้งประสระน้ำนมด้วยดีนัก แล้วจึ่งแต่งยาประสระน้ำนมนั้นให้กินต่อไป
     ยาประสระน้ำนมขนาน นี้ ท่านให้เอาโกฐทั้ง ๕ หนึ่ง เทียนทั้ง ๕หนึ่ง กรุงเขมา ๑ ขิงแห้ง ๑ รากกระพังโหม ๑ ชะมดต้น ๑ ตำเอาน้ำทนาน ๑ เป็นกระสายต้ม ๓ เอา ๑ พลีกินจงดี เป็นยาประสระน้ำนมบริบูรณ์ดีนัก
    ถ้า แลน้ำนมหล่อลงในน้ำ เห็นสีนั้นเขียวดังน้ำหอยแมงภู่ต้มนั้นท่านให้ชิมดู ถ้ารสน้ำนมนั้นเปรี้ยวเป็นเพราะลมกำเริบ ให้แต่งยากินแก้ลมเสียก่อน แล้วจึ่งแต่งยาประสระน้ำนมให้กินต่อไป
    ยาทานมขนานนี้ ท่านให้เอาโกฐสอ ๑ บดละลายน้ำมันเนยทานม บำบัดโรคแห่งกุมารดีนัก
   ยา ต้มประสระน้ำนม ชื่อวิรุฬหะนาภีธิคุณขนานนี้ ท่านให้เอาหว้านน้ำ ๑ แห้วหมู ๑ สมอไทย ๑ รากเพ็ศณุกรรมฺ ๑ ขิง ๑ อุตพิด ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินน้ำนมบริสุทธิ์ดีนัก
   ถ้า แลน้ำนมหล่อลงในน้ำก็ละลายไปกับน้ำนั้น แล้วให้เอาน้ำนมมาชิมดู ถ้ารสน้ำนมนั้นฝาดเป็นเพื่อธาตุไฟแลกำเดา กำเริบ ท่านให้แต่งยาแก้ธาตุไฟเสียก่อน แล้วจึ่งแต่งยาประสระน้ำนมให้กินต่อไป
    ยา ต้มประสระน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอาโกฐทั้ง ๕ เทียนทั้ง ๕ รากไทยย้อย ๑ เปลือกพิกุล ๑ แห้วหมู ๑ งาช้าง ๑ เขากวางอ่อน ๑ รากเสนียด ๑ โคกกระออม ๑ รวมยา ๑๗ สิ่งนี้ เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินน้ำนมบริสุทธิ์ดีนัก
   ถ้า แลรสน้ำนมนั้นคาว กลิ่นเหม็นดังสาบแพะ เกิดเพื่อปถวีธาตุ แลเสมหะกำเริบ ให้แต่งยา แก้ปถวีธาตุแลเสมหะก่อน แล้วจึ่งแต่งยาประสระน้ำนมให้กินต่อไป
    ยา ทาหัวนมขนานนี้ ท่านให้เอาโคกกระออม ๑ ดินปิ้ง ๑ บดด้วยน้ำเหล้าทานมให้ถ้วน ๓ วันก่อน แล้วจึ่งแต่งยาต้มให้กินต่อไป ยาต้มประสระน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอาลูกมะตูมอ่อน ๑ แห้วหมู ๑ ขิงแห้ง ๑ รากขัดมอน ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้น้ำนมหายคาวดีนัก
    ยา ต้มประสระน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอาสมอไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ แห้วหมู ๑ รวมยา ๓ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินแปร น้ำนมร้ายให้เป็นดีแล
     ยา ต้มแปรน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอารากทรงบาดาน ๑ รากคันทรง ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทอง ๑ หว้านเหลือง ๑ น้ำนมราชสีห์ต้น ๑ น้ำนมราชสีห์เครือ ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันต้ม ๓ เอา ๑ เมื่อจะกินแซกเหล้ากิน แปรน้ำนมร้ายให้เป็นดีแล
    ยา แก้น้ำนมมิออกขนานนี้ ท่านให้เอาเปลือกสะเดา ๑ เปลือกมะหาด ๑ เปลือกไม้สัก ๑ รากตะขบ ๑ รากมะกอกน้ำ ๑ รากมะกอกบก ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้ เอาส่วนเท่ากันตำเป็นผงเอาน้ำมะพร้าวนาฬิเก เป็นกระสาย บดทำแท่งไว้กิน น้ำนมพล่าน ดีนัก
      ยา แก้น้ำนมกลัด ไม่ออกขนานนี้ ท่านให้เอาเปลือกมะทราง ๑ ลูกพุดทราอ่อน ๑ ลูกมะกอก ๑ มะขามเปียก ๑ ลูกมะแว้งเครือ ๑ ขันทศกร ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ แก้น้ำนมกลัดออกมากดีนัก
    ถ้า แลน้ำนมหล่อ ลงในน้ำจางเป็นสายโลหิต ก็ดี เป็นน้ำเหลืองก็ดี เกิดเพื่ออาโปธาตุกำเริบ เพราะฤดูนั้นขัด แลสัตรีมีครรภ์อันอ่อน ครั้นกุมารบริโภคเข้าไป ก็อาจให้เป็นโรคต่างๆได้ ท่านให้แต่งยาแก้อาโปธาตุเสียก่อน แล้วจึ่งแต่งยาประสระน้ำนมให้กินต่อไป
     ยาทาประสระน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอาสังข์ ๑ ดอกอุบล ๑ โกฐสอ ๑ บดด้วยน้ำนมทานมก่อน แล้วจึงแต่งยาประสระน้ำนมให้กินต่อไป
    ยา ต้มประสระน้ำนมโทษ ขนานนี้ ท่านให้เอาต้นท้าวยายม่อม ๑ เทพธาโร ๑ ลำพัน ๑ สมอไทย ๑ อุตพิด ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑ กินชำระ น้ำนมโทษดีนัก
     ถ้าแม้ว่าฤดูขัด ท่านให้เอาน้ำนมโคสดบริสุทธิ์นั้นมาประสมกันกับน้ำมะพร้าวนาฬิเก กินบ้าง ทาบ้าง บำบัดโทษแห่งกุมารดีนัก
     ขนาน หนึ่งท่านให้เอา เข้าตอก กัญญา ๑ รากอัญชันขาว ๑ ขันทศกร ๑ โกฐชฎามังสี ๑ กรามช้าง ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้ เอาส่วนเท่ากันตำเป็นผง บดด้วยน้ำผึ้งกินบำบัดโทษแห่งกุมาร ๘ ประการหายดีนัก
    บัด นี้จะกล่าวด้วยลักษณะน้ำนมโทษอีก ๓ จำพวก คือมารดาอยู่ไฟมิได้ ท้องเขียวดังท้องค่าง ครั้นมารดาออกจากเรือนไฟแล้ว แลให้กุมารดื่มน้ำนมนั้นเข้าไป ก็อาจให้เป็นโรคต่างๆด้วยดื่มน้ำนมเป็นโทษทั้ง ๓ ประการดังนี้
      คือ น้ำนมจางสีเขียวดังน้ำต้มหอยแมงภู่ประการ ๑ น้ำนมจางมีรสอันเปรี้ยวประการ ๑ น้ำนมเป็นฟองลอยประการ ๑ น้ำนมทั้ง ๓ ประการนี้ ย่อมเบียดเบียฬกุมารกุมารีทั้งหลายซึ่งได้บริโภคนั้นกระทำให้เกิดโทษต่างๆ บางทีกระทำให้ลงท้อง บางทีกระทำให้ท้องขึ้น บางทีกระทำให้ตัวร้อน บางทีกระทำให้ปวดมวน โทษทั้งนี้เป็นมลทินโทษแห่งน้ำนม เพราะน้ำนมดิบให้โทษเป็น ๓ ประการดังนี้
      ถ้า แพทย์ผู้ใดจะรักษากุมาร ให้พิจารณาดูสัตรีผู้เป็นแม่นมนั้นก่อน ถ้ารู้ว่าน้ำนมดิบให้แต่งยาแก้ เสียก่อน จึ่งให้กุมารผู้นั้นบริโภคต่อไป จึ่งจะบำบัดโรคแห่งกุมารผู้นั้น ให้ปลดเปลื้องไป
    ยา ทาน้ำนมดิบขนานนี้ ท่านให้เอา ตรีกระฏุก ๑ จุกโรหินี ๑ รากนมสวรรค์ ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้ เอาส่วนเท่ากัน ตำเป็นผงแล้วเอาใส่ลงในนมโคเคี่ยวไฟแต่พอดี แล้วเอาไว้ให้เย็นจึ่งเอามาทานม เมื่อจะให้กุมารกินนั้นเอาน้ำมะพร้าวนาฬิเกมาล้างนมเสียก่อนจึ่งให้กิน ยาขนานนี้อาจบำบัดโทษ ในน้ำนมดิบทั้ง ๓ ประการ แลโทษในกุมารทั้ง ๑๐ ประการนั้นหายดีนัก
     ยา กินแก้น้ำนมดิบขนานนี้ ท่านให้เอาดีปลี ๑ ดอก ทับทิม ๑ ลูกมะตูมอ่อน ๑ รากแฝกหอม ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันตำเป็นผงบดละลายน้ำผึ้งกิน แก้น้ำนมดิบหายดีนัก
    ขนาน หนึ่งท่านให้เอา เทียนทั้ง ๕ เปลือกโลด ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ตำเป็นผงบดละลายน้ำผึ้งกินบ้าง ทานมบ้างแก้น้ำนมดิบหายดีนัก
    ขนาน หนึ่งท่านให้เอาขมิ้นเครือ ๑ ลูกมูกหลวง ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ มะเขือขื่นทั้งลูกทั้งราก ๑ รากชะเอม ๑ เปลือกมะทราง ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันต้ม ๓ เอา ๑ กินบำบัดโทษน้ำนมดิบหายดีนัก
     ยา ประจำธาตุไม่ให้ธาตุวิปริตได้ขนานนี้ ท่านให้เอาหญ้าปีนตอ ๒ สลึง ใบกระเพรา ๖ บาท ใบตานหม่อน ๑ บาท ใบสวาด ๖ สลึง รวมยา ๔ สิ่งนี้ ตำเป็นผงเอาน้ำเหล้าเป็นกระสายบดปั้นแท่งไว้ ถ้าเด็กอายุได้เดือนหนึ่งให้กินแต่เม็ด ๑ กินทวีตามอายุเด็กนั้นขึ้นไป อาจบำบัดได้แต่เช้าถึงเที่ยงดีนัก
     ยา ประจำธาตุ ไม่ให้ธาตุวิปริต ขนานนี้ ท่านให้เอาลูกจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ ดีปลี ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ เอาสิ่งละ ๑ เฟื้อง กระชาย ๑ สลึง ใบกระเพรา ๑ ใบตานหม่อน ๑ ใบคนทีสอ ๑ สิ่งละ ๑ บาท รวมยา ๑๐ สิ่งนี้ ตำเป็นผง เอาน้ำเหล้าเป็นกระสาย บดปั้นแท่งไว้ละลายน้ำเหล้ากิน ถ้าเด็กอายุได้เดือน ๑ ให้กินเม็ด ๑ กินทวีตามอายุเด็กขึ้นไป ยาขนานนี้อาจบำบัดได้แต่เที่ยงถึงค่ำ แต่ค่ำถึง ๑๑ ทุ่มเป็นกำหนด
    ยา ชื่อเบ็ญจโกฐ แก้กุมารกินน้ำนมโทษขนานนี้ ท่านให้เอาโกฐสอ ๑ โกฐเขมา ๑ โกฐพุงปลา ๑ โกฐจุลาลำภา ๑ โกฐหัวบัว ๑ กานพลู ๑ จันทนฺเทศ ๑ ชะเอม ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง น้ำตาลทราย ๑ เฟื้อง รวมยา ๙ สิ่งนี้ตำเป็นผงเอาน้ำดอกไม้เป็นกระสาย บดปั้นแท่งไว้ละลายด้วยน้ำผึ้งน้ำมะนาวก็ได้ ให้กุมารกินแก้น้ำนมโทษต่างๆ แลแก้พิษทรางในอกในคอ แก้ไอสอึกดีนัก
     ถ้า แพทย์ผู้ใดจะรักษากุมารกุมารีไปเมื่อน่านั้น ให้พิจารณาน้ำนมซึ่งเป็นมลทินโทษแห่งแม่นมนั้น ดุจกล่าวมาแล้วแต่หนหลัง ถ้าเห็นเป็นโทษแท้แล้ว ให้แต่งยาประจุโลหิตเสียก่อน แล้วจึ่งแต่งยาบำรุงธาตุ ยาประสระน้ำนม แลยาทานมนั้นต่อไปให้นมนั้นปราศจากมลทินโทษ อันว่าสรรพยา ซึ่งจะบำรุงแลประจุโลหิตนั้นมีวิตถาร อยู่ในพระคัมภีร์มหาโชติรัตโน้นแล้ว แลในคัมภีร์สังโยชนฺที่ท่านประกอบลงไว้นี้ พอเป็นราวทาง ว่ามาทั้งนี้โดยบุคคลที่ยากเย็นเข็ญใจ จึ่งต้องรักษาพยาบาลกันดังนี้เว้นไว้แต่กระษัตริย์แลเสรษฐี คหบดี ผู้มีบุญญานุภาพมากท่านจัดสรรเอาแม่นม ที่ปราศจากมลทินโทษที่น้ำนมบริสุทธิ์หาอันตรายมิได้เอง จะได้ต้องรักษาพยาบาลกันดุจเราท่านทุกวันนี้หามิได้เลย
    ยา ประจุโลหิตน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอายาชื่ออินทจรหนัก ๑ ตำลึง ยาดำหนัก ๑ บาท รังหมาล่าหนัก ๒ บาท ดีเกลือหนัก ๒ บาท รวมยา ๔ สิ่งนี้บดเข้าด้วยกันกินแล้วลงดีนัก
     ยา ชำระโลหิตน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอาเทียนทั้ง ๕ สิ่งละ ๑ เฟื้อง เจตมูลเพลิง ๑ ดองดึง ๑ สิ่งละ ๑ สลึง ยาดำ ๑ กระเทียม ๑ การบูร ๑ สิ่งละ ๑ บาท ลูกสลอด ๑ ประสระ แล้วเท่ายา ทั้งหลาย รวมยา ๑๑ สิ่งนี้ ตำเป็นผงละลายน้ำร้อนกิน ถ้าธาตุหนัก ให้กินแต่ ๑ เฟื้อง ธาตุเบา ให้กินแต่ ๒ ไพ กินเป็นยาผายลม ชำระโทษ ถ้าลงหนักไปให้เอาฟักเขียวกับน้ำตาลหม้อต้มกินหยุดแล
    ยา นี้อาจบำบัดได้ซึ่งโลหิตเป็นโทษนั้น โลหิตน้ำนมเน่าเสียร้าง มาได้ ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ก็ดี กลายเป็นริดสีดวงแห้ง ก็ดี ย่อมแปรไปเป็นฝีในท้องก็ดี หายสิ้นดีนักแล
      ยา ชำระโลหิตน้ำนมขนานนี้ ท่านให้เอาสหัสคุณทั้ง ๒ ลูกจันทนฺ ๑ ดอกจันทนฺ ๑ เทียนทั้ง ๕ หว้านหางช้าง ๑ รากหางช้าง ๑ รากตองแตก ๑ ตรีกฏุก ๑ กระเทียม ๑ ยาดำ ๑ เอาสิ่งละ ๒ บาท ข่าแห้ง ๑ ไพลแห้ง ๑ กานพลู ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท หอมแดง ๓ บาท สานส้ม ๑ ดินประสิวขาว ๑ เอาสิ่งละ ๑ ตำลึง รวมยา ๒๓ สิ่งนี้ตำเป็นผง บดด้วยน้ำมะขามเปียกกินหนัก ๑ สลึง ให้กินไปทุกวัน เป็นยาชำระอาจบำบัดโทษน้ำนมให้ถึงซึ่งพินาศฉิบหาย
      พระ อาจารย์ท่านกล่าวไว้ดังนี้ อันว่าแพทย์ทั้งหลายมิได้ถือเอา ซึ่งพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ อิ่มไปด้วยโลภด้วยหลงมีใจอันถือทิฏฐิมานะ อันว่าแพทย์ผู้นั้น ชื่อว่ามีตาอันบอดประกอบไปด้วยโทษ ด้วยประการดังนี้
    โดย อธิบายว่าแพทย์ผู้ใดมิได้เรียนซึ่งคัมภีร์ฉันทศาสตร์มิได้รู้จักกำเนิดแห่ง ทราง แลสรรพคุณยาทั้งหลาย ได้แต่ตำราซึ่งท่านเขียนไว้ก็ไปเที่ยวรักษา ด้วยใจโลภจะใคร่ได้ทรัพย์แห่งท่านประการ ๑ ถือทิฏฐิมานะว่าตัวรู้กว่าคนทั้งหลายประการ ๑ หลงใหลถือผิดเป็นชอบประการ ๑ มีความโกรธแก่ท่านประการ ๑ ทั้ง ๔ ประการนี้ ท่านว่าเป็นหมอโกหก อย่างนี้ในเมืองโสฬศมหานคร ท่านจับเอาตัวมาฆ่าเสียเป็นอันมาก ท่านทั้งปวงพึงรู้เถิด
     อนึ่ง แพทย์มิได้รู้จักกำเนิดโรคแห่งท่านนั้น แลวางยาให้ผิดแก่โรคมีดุจพระบาฬีกล่าวไว้ดังนี้ (ปถมํ สัตฺติ ยถา) วางยาผิดโรคครั้งหนึ่งดุจประหารด้วยหอก (ทุติยํ อัคฺคิ ยถา) วางยาผิดโรคสองครั้งดุจเผาด้วยไฟ (ตติยํ อัสฺสนี ยถา) วางยาผิดโรคสามครั้งดุจต้องสายฟ้า คือฟ้าผ่า (ชวรํ) อันว่าโรค (กุปฺปิตา) ก็จะกำเริบขึ้นกว่าเก่า (สตสหัสฺสํ) ได้ร้อยเท่าพันเท่า (โส เวชฺโช) อันว่าแพทย์ผู้นั้น (กาลกิริยํ) ครั้นกระทำซึ่งกาลกิริยา ตายแล้ว (นิรยคโต) ก็จะไปเอาปฏิสนธิ ในนรก (นิรยปาโล) ก็จะมีหมู่นายนิระยะบาล (ปริวาริโต) จะแวดล้อม (ตยา) อันท่าน (เวทิตัพฺโพ) พึงรู้ (อิติ) ด้วยประการดังนี้

 ( จบลักษณะ ว่าด้วยเรื่องราวการกำเนิดชีวิตมนุษย์ตั้งแต่แรกปฏิสนธิ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ การรักษาครรภ์ การคลอด แต่เท่านี้ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น