เมื่ออายุเริ่มเข้าเกณฑ์ปัจฉิมวัย เกิดกระษัยหรือความเสื่อมปรากฎชัด เป็นไปตามกฎแห่งสังขารปรกติ แม้เกิดไฟกามราคะขึ้นแล้ว การแข็งตัวอาจไม่เกิดขึ้นตาม แพทย์จักพึ่งรักษากระษัยที่เกิดขึ้นให้บรรเทาลงเป็นไปที่ต้นเหตุนั้น แล้วจึงใช้เวชปฎิบัติหัตถบำบัด นวดกระษัยเข้าช่วยต่อไป...อาการของกษัยที่เกิดเป็นอุป
๑ กษัยล้น เกิดด้วยน้ำเหลือง วาโยพัดให้เป็นฟองข้นเข้าเป
๒ กษัยราก เกิดเพื่อลมร้อง ให้อาเจียนลมเปล่า ลั่นในอุทรดังจ๊อกๆ ตึงกายดุจถูกเชือกรัดไว้ ให้ร้องครวญครางทั้งวันทั้ง
๓ กษัยเหล็ก ให้หัวเหน่าท้องน้อยแข็งดัง
๔ กษัยปู เกิดเพื่อโลหิตคุมกันเป็นก้
๕ กษัยจุก เพราะวาโยเดินแทงเข้าไปในเส
๖ กษัยปลาไหล เป็นอยู่นานจะกระทำโทษ เอาหางชอนลงไปแทงเอาหัวเหน่
๗ กษัยปลาหมอ มีจิตวิญญาณเกิดขึ้นในลำไส้
๘ กษัยปลาดุก เกิดขึ้นเพื่อโลหิตและน้ำเห
๙ กษัยปลวก เกิดขึ้นเพื่อสัณฑะฆาต ปวดขบทรวงอกดังจะขาดใจ เป็นๆหายๆหลายครั้งหลายหน นานเข้าผิวเนื้อขาวซีด เผือดผอมแห้งลง เข้าใจผิดว่าเป็นฝีปลวก แต่ฝีปลวกนั้นต้องมีหนอง กษัยปลวกไม่มีหนอง
๑o กษัยลิ้นกระบือ เกิดเพื่อโลหิตลิ่ม ติดอยู่ชายตับ เป็นตัวแข็ง ยาวออกมาชายโครงด้านขวา รูปร่างเหมือนลิ้นกระบือ ทำให้ครั่นตัว ให้ร้อน จับเป็นเวลาให้จุกแน่นกินอา
๑๑ กษัยเต่า เกิดเพื่อดานเสมหะ ตั้งที่ชายโครงซ้ายขวาเท่าฟ
๑๒ กษัยดาน ตั้งอยู่ยอดอกแข็งดังศิลา ถ้าลามถึงท้องน้อย ให้ร้องครางทั้งกลางวันกลาง
๑๓ กษัยท้น เกิดเพื่อบริโภคอาหาร ท้องว่างก็สงบ เมื่อบริโภคเข้าไปน้อยหรือม
ยอดอก ให้อาเจียน แน่นหน้าอกและชายโครง หายใจไม่ตลอดท้อง แน่นขึ้นมาแต่ท้องน้อย ดันเอากระเพาะข้าวขึ้นข้างบ
๑๔ กษัยเสียด เกิดเพื่อลมตะคริวแต่แม่เท้
๑๕ กษัยเพลิง หรือ กษัยไฟ เกิดเพื่อเตโชธาตุ ๓ ประการ คือ สันตัปปัคคี ชิรณัคคี ปริทัยหัคคี
ให้จับเวลาบ่าย จักษุแดง เจ็บอยู่ยอดอก( มักเป็นฝีมะเร็งทรวง) บวมหน้าบวมที่ท้อง ให้ตัวเย็นแต่ในร้อนดังไฟเผ
๑๖ กษัยน้ำ(กษัยโลหิต,มานโลหิต
เกิดเพื่อโลหิต น้ำเหลือง เสมหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นทั้งสามเรียก กษัยโลหิตหรือ กษัยเลือดเป็นกับสตรี(คัมภี
๑๗ กษัยเชือก ตั้งขึ้นแต่หัวเหน่าหยั่งถึ
๑๘ กษัยลม เกิดเพื่อลม ๖ จำพวก (มานลม)
โกฎฐาสยาวาตา เกิดเพื่อลมในลำไส้ เป็นดานกลมเท่าลูกในตาล จุกเสียดแน่นอก ท้องแข็งไปทั้งสองข้าง
กุจฉิสยาวาตา เกิดเพื่อลมนอกลำไส้ ให้แล่นเข้าในกระดูก เมื่อยขบในกระดูก
อังคมังคานุสารีวาตา เกิดเพื่อลมทั่วกาย ลมนี้รวมกันอยู่เหนือสะดือเ
อุทธังคมาวาตา(ลมอุทรวาต) เกิดจากลมแต่ปลายเท้าขึ้นมา
อโธคมาวาตา เกิดจากลมที่พัดจากกระหม่อม
เกิดเพื่อลมที่ตั้งอยู่ ๔ แห่งรอบสะดือ (สุมนาวาตะ) คือ ใต้,เหนือสะดือ และ ซ้าย,ขวาสะดือ
อาการของกษัยที่เกิดแต่กองธ
กษัยดิน,กษัยน้ำ,กษัยลม,กษั
กษัยกล่อนดิน
ตั้งเป็นก้อนที่หัวเหน่า ซ้ายหรือขวา แล้วเลื่อนลงมาอัณฑะ ให้กำเริบฟก จับต้องไม่ได้ กระทบผ้านุ่งก็ไม่ได้ เจ็บเสียวตลอดถึงหัวใจ ให้เสียวตามราวข้างและทรวงอ
กษัยกล่อนน้ำ
เกิดเพื่อโลหิต น้ำเหลือง เสลด อย่างใดอย่างหนึ่งเช่นเดียว
กษัยกล่อนลม
เมื่อกำเริบนั้น ข้างขึ้นข้างแรมเหมือนกัน ตอนเช้าคลาย แต่บ่ายจึงจุกขึ้นมา แล้วกัด ขบ ตอดในทรวงอก ให้ร้อนในอก แต่ตัวเย็นยิ่งนัก ปวดขบเป็นกำลัง หากกินของร้อนก็คลายลงบ้าง
กษัยกล่อนไฟ
เพราะเพลิงธาตุทั้ง ๔ ไม่เป็นปกติ ถ้าตั้งที่นาภีและทรวงอก ให้แน่นหน้าอก กินอาหารไม่ได้ บางทีปวดตามาก ให้ตาแดงเหงื่อตก เจ็บที่ยอดอก มักเป็นเวลาบ่าย ให้บวมหน้า บวมหลัง บวมที่เท้า บวมทั้งสามนี้รักษาไม่ได้
กษัยกล่อนเถา
เกิดเพื่อลมสัณฑะฆาตและลมปั
ยาแก้กษัยทั้งปวง เป็นยาต้มกิน วันละ สามเวลา ก่อนอาหาร ครั้งละ ๒ – ๓ ช้อนโต๊ะ
ตัวยามีฤทธิ์ทางถ่าย พิษเสมหะโลหิต ชำระเมือกมัน
สมอดีงู สมอไทย แสมสาร แสมทะเล ใบมะกา ใบมะดัน ขี้เหล็ก บอระเพ็ด รากช้าพลู เกลือ
แก่นลั่นทม เถาวัลย์เปรียง ยาดำ ดินประสิว
ส้มป่อย ใบมะขาม ดอกคำฝอย สะค้าน ดอกดีปลี รากเจตมูลเพลิง กระเพรา
เทียนทั้ง ๙
ฝักราชพฤกษ์ ๓ ฝัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น